การเลี้ยงปลาดุก สำหรับมือใหม่
การเลี้ยงปลาดุก
สวัสดีครับวันนี้จะพาพี่น้องมารู้จักกับ การเลี้ยงปลาดุก ในรูปแบบต่าง ๆ กันครับ สำหรับการเลี้ยงปลาดุกนั้นนอกจากจะเลี้ยงตามบ่อธรรมชาติที่เรารู้จักกันทั่วไปแล้วยังมีวิธีการเลี้ยงปลาดุกที่หลากหลาย อย่างเช่น การเลี้ยงปลาดุกในบ่อดิน, การเลี้ยงปลาดุกในบ่อพลาสติก, การเลี้ยงปลาดุกในบ่อปูน, การเลี้ยงปลาดุกในโอ่ง, เป็นต้น เพราะว่าปลาดุกนั้นเป็นปลที่เลี้ยงง่ายและโตไวมาก เพราะมีนิสัยที่กินเเก่งมากๆครับ ว่าแล้วเราก็ไปดูการเลี้ยงปลาดุกันเลยครับว่ามีขั้นตอนและวิธีการเลี้ยงอย่างไรกันบ้าง
ทำความรู้จักสายพันธุ์ปลาดุก ก่อนลงมือเลี้ยง

- ปลาดุกด้าน (Clarias batrachus )
ปลาดุกด้าน (Walking catfish) เป็นปลาน้ำจืดในวงศ์ปลาดุก (Clariidae) มีรูปร่างค่อนข้างยาวเรียว ส่วนหางค่อนข้างแบน มีสีเทาปนดำ ส่วนท้องมีสีขาว สามารถเคลื่อนที่บนบกได้เป็นระยะทางสั้น ๆ โดยใช้ครีบ เรียกว่า “ปลาแถก” ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 50 เซนติเมตร สามารถพบได้ในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงจนลุ่มน้ำเจ้าพระยา นอกจากนี้ยังพบได้ในแถบคาบสมุทรมลายู, เกาะสุมาตรา, เกาะชวา, เกาะบอร์เนียว, ฟิลิปปินส์ และมีรายงานว่าพบในศรีลังกา, บังกลาเทศ, อินเดีย และพม่า ในประเทศไทยและประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ปลาดุกถูกนำมาใช้ประโยชน์ในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการเลี้ยงเพื่อนำมาทำเป็นอาหาร เช่น ปลาดุกย่าง, ปลาดุกฟู หรือปลาหยอง เป็นต้น - ปลาดุกอุย (Clarias macrocephalus)
ปลาดุกอุย หรือ ปลาอั้วะชื้อ ในภาษาแต้จิ๋ว (อังกฤษ: Broadhead catfish, Günther’s walking catfish มีกระดูกท้ายทอยยื่นแหลมออกไปลักษณะคล้ายรูปสามเหลี่ยม ลำตัวสั้นป้อมกว่าปลาดุกด้าน ซึ่งอยู่ในสกุลเดียว กัน ลำตัวมีสีดำปนเหลือง มีจุดขาวเล็ก ๆ เรียงเป็นแถวขวางลำตัวหลายแถว มีครีบหลังสูงกว่าปลาทั่วไปมาก สามารถเคลื่อนที่บนบกได้เป็นระยะทางสั้น ๆ โดยใช้ครีบช่วย พบได้ในพื้นที่แถบประเทศไทยไปจนถึงเวียดนาม และมีการนำไปเลี้ยงในประเทศจีน, มาเลเซีย, เกาะกวม และฟิลิปปินส์
บางครั้งมีความเข้าใจผิดกันว่าปลาดุกอุยคือปลาดุกด้านตัวเมีย แต่ที่จริงเป็นปลาคนละชนิดกัน ปลาดุกอุยเป็นที่นิยมของผู้บริโภคชาวไทยและชาวลาวมากกว่า ปลาดุกด้าน เนื่องจากเนื้อมีรสชาติมัน อร่อย มีราคาที่สูงกว่าปลาดุกด้าน จึงได้มีการเพาะเลี้ยงและผสมเทียมในบ่อ แต่ปัจจุบันได้นำมาผสมกับปลาดุกเทศ เป็นปลาลูกผสม เรียกว่า “บิ๊กอุย” ทำให้โตเร็วและเลี้ยงง่ายกว่าปลาดุกอุยแท้ ๆ - ปลาดุกยักษ์, ปลาดุกรัสเชีย, ปลาดุกแอฟริกา (Clarias gariepinus)
ปลาดุกรัสเซียเป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ อาจจะใหญ่ถึง 9-10 กิโลกรัม จึงถูกเรียกว่า ปลาดุกยักษ์ ลักษณะลำตัวเรียวยาว หัวใหญ่และแบน กะโหลกเป็นตุ่ม ๆ ไม่เรียบ กระดูกท้ายทอยมีลักษณะเป็นหยัก 3 หยัก ตัวมีสีเทา ไม่มีจุดประตามลำตัว เมื่อโตขึ้นจะปรากฏลายคล้ายหินอ่อน มีอัตราการเจริญเติบโตเร็วมาก ต้านทานโรคและสภาพแวดล้อมสูง
- ปลาดุกลำพัน (Clarias nieuhofii)
ปลาดุกลำพันเป็นปลาน้ำจืดไม่มีเกล็ดอยู่ในกลุ่มเดียวกับปลาดุกอุย หรือปลาดุกด้าน รูปร่างยาวเรียว ลำตัวด้านข้างแบนหัวเล็กสั้นทู่ มีหนวดยาว 4 คู่ อยู่บริเวณหน้านัยน์ตา 2 คู่ และใต้คาง 2 คู่ นัยน์ตาเล็ก ครีบหูเล็ก มีก้านครีบอันหน้าเป็นหนามแหลมที่เรียกกันว่า เงี่ยง ครีบท้องเล็กและอยู่ใกล้กับครีบก้นครีบหลังและครีบก้นยาวมีฐานติดกับครีบหาง ส่วนปลายแยกครีบหางเล็กปลายกลมมน สีของลำตัวค่อนข้างดำ และลักษณะสีของลำตัวจะเปลี่ยนไปตามอายุ ขนาด และสภาพแวดล้อมตัวโตเต็มวัยจะมีลำตัวสีเข้ม แต่เมื่อนำมาเลี้ยงในบ่อจะมีสีน้ำตาลเหลืองข้างลำตัวมีจุดสีขาวเรียงเป็นแถวตามขวางประมาณ 13 – 20 แถวยกเว้นบริเวณท้อง - ปลาดุกบิ๊กอุย
ปลาดุกบิ๊กอุยเป็นปลาดุกลูกผสมระหว่างปลาดุกเทศกับปลาดุกอุย ดังนั้นลักษณะรูปร่างภายนอก และนิสัยการกินอาหารคล้ายกับปลาดุกอุยมาก มีผิวค่อนข้างเหลือง ลำตัวและหางจะเห็นลายจุดประสีขาวคล้ายของปลาดุกอุยชัดเจนมาก แต่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จุดนี้จะหายไป ส่วนลักษณะรูปร่างและลำตัวบางส่วนที่คล้ายกับปลาดุกเทศ ได้แก่ กะโหลกท้ายทอย แหลมเป็นหยัก 3 หยัก หัวมีขนาดใหญ่และเป็นตะปุ่มตะป่ำไม่เรียบ คอดหางมีจุดประสีขาวเรียงตามขวางในระยะที่ปลายังเล็ก ซึ่งบางครั้งไม่อาจแยกได้ว่าเป็นปลาดุกบิ๊กอุยหรือปลาดุกเทศ ดังนั้นการจะดูให้รู้แน่ชัดจะต้องดูที่ลักษณะหัวปลาและลายขวางที่คอดหางเมื่อปลาอายุได้ 3 สัปดาห์ขึ้นไป
รูปแบบของการเลี้ยงปลาดุก
วิธีการเลี้ยงปลาดุกนั้นสามารถเลี้ยงได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความสะดวกและพื้นที่ของผู้เลี้ยงแต่ที่นิยมกันนั้นพอแบ่งออกได้เป็น 4 แบบ คร่าวๆ ดังนี้ครับ
1. การเลี้ยงปลาดุกในบ่อดิน

การเตรียมบ่อดิน
- สำหรับบ่อใหม่นั้น ให้หว่านปูนขาวให้ทั่วบ่อ ในปริมาณ 80 – 120 กิโลกรัม/ไร่ แล้วตากบ่อไว้ 2 – 3 วัน
- กรณีบ่อเก่า ทำความสะอาดบ่อโดย ลอกเลน กำจัดวัชพืชในบ่อ และบริเวณโดยรอบ และกำจัดศัตรู ปลาในบ่อ โดยใช้โล่ติ๊น หรือกากชา ผสมน้ำสาดให้ทั่วบ่อ แล้วโรยปูนขาว 80-120 กิโลกรัม/ไร่ ตากบ่อไว้ 2 – 3 วัน
- แล้วทำการใส่ปุ๋ยเพื่อสร้างอาหารธรรมชาติ ซึ่งได้แก่
-
- ปุ๋ยคอก 150 – 200 กิโลกรัม/ไร่
- ปุ๋ยวิทยาศาสตร์เช่น ปุ๋ยนา (16-20-0) 4.5 กิโลกรัม/ไร่
- ปุ๋ยยูเรีย (46 – 0 – 0) 2.5 กิโลกรัม/ไร่
- แล้วทำการปล่อยน้ำเข้าบ่อ 30 – 50 เซนติเมตร ทิ้งไว้ 5 – 7 วันน้ำจะเริ่มเขียว เมื่อน้ำเริ่มเขียวเพิ่มระดับน้ำให้ลึกประมาณ 0 – 1.5 เมตร หลังจากนั้น 3 – 5 วัน ก็นำปลามาปล่อยเลี้ยงตามอัตราที่เหมาะสม
ข้อดีและข้อเสียของการเลี้ยงปลาดุกในบ่อดิน
ข้อดี
- มีอาหารธรรมชาติ ช่วยลดต้นทุนได้
- ปลาเจริญเติบโตเร็ว อัตรารอดสูง
ข้อเสีย
- บ่อควรเป็นดินที่กักเก็บน้ำได้
- ค่า pH ควรอยู่ระหว่าง 6.5 – 9.5
- ต้องหมั่นกำจัดวัชพืช
- ควรอยู่ใกล้แหล่งน้ำ เพื่อถ่ายน้ำได้สะดวก
2. การเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์
การเลี้ยงปลาดุกในท่อปูนซีเมนต์เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ สามารถเลี้ยงกันได้ง่าย สำหรับสถานที่ก็ใช้พื้นที่ไม่เยอะ และสามารถเคลื่อน ย้ายท่อปูนซีเมนต์ได้ง่ายด้วย ค่าลงทุนในการการเลี้ยงก็ไม่มากสามารถนำไป ประกอบเป็นอาชีพเสริมได้และผลตอบแทนก็เป็นที่น่าภูมิใจ
การเตรียมบ่อซีเมนต์
- บ่อซีเมนต์ใหม่ ต้องปรับสภาพบ่อก่อน โดยใส่น้ำให้เต็มบ่อ และใส่หยวกกล้วยสับลงไปด้วยแช่ทิ้งไว้ประมาณ 2 สัปดาห์ จึงล้างบ่อให้สะอาด แล้วตากบ่อให้แห้ง
- บ่อซีเมนต์เก่า ล้างทำความสะอาดด้วยน้ำด่างทับทิมสาดให้ทั่วบ่อ ตากบ่อให้แห้ง
ข้อดีและข้อเสียของการเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์ (กลม)
ข้อดี
- ใช้พื้นที่น้อย และดูแลรักษาง่าย
- เลี้ยงเพื่อการบริโภคในครัวเรือน
- รวบรวมและจับปลาได้ง่าย
ข้อเสีย
- ปลาโตช้า ต้องทยอยจับ
- ต้องกำจัดฤทธิ์ของปูนให้หมดก่อน
- ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อย
- ต้องอยู่ในที่ร่ม มีหลังคา
ข้อดีข้อเสียของการเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์ (เหลี่ยม)
ข้อดี
- ใช้เป็นบ่อเพาะพันธุ์ อนุบาลและเลี้ยงปลาได้
- ดูแลรักษา และทำความสะอาดง่าย
- รวบรวมและจับปลาได้ง่าย
ข้อเสีย
- ต้นทุนสูง
- ต้องกำจัดฤทธิ์ของปูนให้หมดก่อน
- ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำบ่อย และระวังน้ำเน่าเสีย
- ต้องอยู่ในที่ร่ม มีหลังคา
3. การเลี้ยงปลาดุกในบ่อพลาสติก
สำหรับการเลี้ยงปลาในบ่อพลาสติก นั้นจะทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงนั้นสามารถประหยัดต้นทุนเรื่องค่าใช้จ่าย และที่สำคัญที่สุดไม่เสียพื้นที่ในการขุดบ่อปลา ใช้พื้นที่น้อยผสมผสานกับการเกษตรอย่างอื่นก็ได้ โดยรอบคันบ่อควรปลูกผักสวนครัวซึ่งการเลี้ยงปลาในบ่อพลาสติก และนอกจากเป็นการลดรายจ่ายซึ่งเป็นการใช้บริโภคในครัวเรือน แล้วยังเป็นการเพิ่มรายได้ด้วยการนำส่วนที่เหลือจากการบริโภคไปจำหน่ายซึ่งตลาดมีความต้องการสูงเนื่องจากเป็นธรรมชาติและปลอดสารพิษ
การเตรียมบ่อพลาสติก
- การจัดเตรียมบ่อ ขุดบ่อขนาดกว้าง 2 เมตร ลึก 1 เมตร ก้น 1 เมตร จัดทำขอบบ่อให้มีระดับเดียวกัน ปูผ้า พลาสติกสีดำกันน้ำซึม
- การปรับสภาพน้ำในบ่อปลาเปิดน้ำใส่บ่อจนเต็มจากนั้นใส่จุลินทรีย์ EM จำนวน 1 ลิตร ผสมกากน้ำตาล 1 กิโลกรัม แล้วทิ้งไว้ 5 – 7 วัน เพื่อปรับสภาพน้ำและลดการเน่าเสียของน้ำ ก็นำปลามาปล่อยเลี้ยงตามอัตราที่เหมาะสม
ข้อดีและข้อเสียของ การเลี้ยงปลาดุกในบ่อพลาสติก
ข้อดี
- ใช้พื้นที่น้อย
- ใช้ได้ดีในพื้นที่ที่กักเก็บน้ำไม่อยู่
- เลี้ยงเพื่อการบริโภคในครัวเรือน
ข้อเสีย
- อาจเกิดรอยรั่วได้
- ปลาโตช้า และต้องทยอยจับ
- ต้องระมัดระวังเรื่องน้ำเน่าเสีย
- การเปลี่ยนถ่ายน้ำค่อนข้างยุ่งยาก
4. การเลี้ยงปลาดุกในกระชัง
การเตรียมพันธุ์ปลา
ควรเลือกลูกปลาที่มาจากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือ เป็นอันดับแรกส่วนการดูลูกปลานั้นให้เลือกที่มีความแข็งแรง ว่ายน้ำได้เร็ว ลำตัว หนวดครีบ หาง สมบูรณ์ ไม่ว่ายน้ำหงายท้องหรือ ตั้งฉากกับน้ำ
อัตราการปล่อย
ลูกปลาขนาด 2 – 3 ซม. ควรปล่อยในอัตรา 50 – 100 ตัว/ตารางเมตรขึ้นอยู่กับกรรมวิธีในการเลี้ยง คือ ชนิดอาหาร ขนาดของบ่อและ ระบบการเปลี่ยนถ่ายน้ำ ซึ่งโดยทั่วไปอัตราปล่อยเลี้ยงประมาณ 50 ตัว/ตารางเมตร
การปล่อยปลาลงบ่อเลี้ยง
ก่อนการปล่อยลูกปลาลงสู่บ่อควรเอาถุงปลาแช่น้ำในบ่อ 10-15 นาทีเพื่อเป็นการปรับอุณหภูมิให้เท่ากัน ป้องกันการน็อคน้ำของลูกปลาขนาดลูกปลาที่จะปล่อยควรมีขนาดเท่ากับนิ้วมือ ช่วยเพิ่มอัตราการรอดตายให้สูงมากขึ้น ปริมาณที่เหมาะสมในการเลี้ยงปลาอยู่ที่ 80,000-100,000 ตัวต่อไร่
การปล่อยปลานิยมปล่อยช่วงเช้า (ไม่เกิน 07.30 น.) แต่หากเป็นไปได้ควรปล่อยช่วงเย็น (17.30 น.) จะดีที่สุด เนื่องจากอากาศไม่ร้อน ลูกปลาจะปรับตัวได้ดี
การเลี้ยงและการให้อาหาร
- เมื่อปล่อยลูกปลาวันแรกไม่ต้องให้อาหาร
- วันต่อมาให้เป็นอาหารลูกปลาวัยอ่อน โดยให้ประมาณ 1 สัปดาห์
- เมื่อลูกปลาโตพอกินอาหารเม็ดได้ก็เริ่มให้อาหารปลาดุกเล็กพิเศษ ให้กินจนลูกปลาอายุ 1 เดือน โดยให้วันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น)
- เมื่อลูกปลามีอายุ 2 เดือน จึงให้อาหารปลาดุกใหญ่ โดยให้วันละ 2 ครั้ง
เทคนิคและวิธีการให้อาหารปลา
- ให้ปลากินอาหารเป็นเวลาและให้ในเวลากลางวัน
- ตำแหน่งที่ให้อาหารทุกครั้งควรเป็นสถานที่เดิม
- มีแป้นหรือภาชนะรองรับอาหารเป็นที่ ๆ ในบ่อนั้นก่อนให้อาหารควรให้สัญญาณ เช่น การใช้มือหรือไม้ตีน้ำให้กระเทือน
- ปรับปริมาณอาหารที่ให้ทุก 1-2 สัปดาห์
การถ่ายเทน้ำ
เมื่อเริ่มเลี้ยงใหม่ๆ ควรมีระดับน้ำประมาณ 30-40 เซนติเมตรเมื่อลูกปลาเจริญเติบโตขึ้นในเดือนแรกเพิ่มระดับน้ำให้สูงประมาณ 50-60 เชนติเมตร หลังจากเข้าเดือนที่ 2 ควรเพิ่มระดับน้ำให้สูงขึ้น 10 เซนติเมตร/สัปดาห์ จนระดับน้ำในบ่อลึก 1.20 – 1.50 เมตร การถ่ายเทน้ำควรเริ่มตั้งแต่ประมาณ 1 เดือน โดยถ่ายประมาณ 20 % ของน้ำในบ่อ 3 วัน/ครั้ง หรือถ้าน้ำในบ่อเริ่มเสียจะต้องถ่ายน้ำมากกว่าปกติ
การเก็บเกี่ยวผลผลิต
เมื่อเลี้ยงปลาดุกบิ๊กอุย 90 วัน จะได้ปลาขนาด 100-200 กรัมอัตราการรอดตายสูงถึง 80 % สามารถจับปลาเพื่อใช้ในการบริโภคหรือจำหน่ายได้
โรคปลาและการป้องกันรักษา
ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรค
- มีอินทรียวัตถุในบ่อมากเกินไป จากการใส่ปุ้ยหรือมีเศษอาหารทำให้สภาพของบ่อเหมาะแก่การเจริญแพร่พันธุ์ของเชื้อโรค
- บ่อไม่มีการถ่ายเทน้ำทำให้เกิดการสะสมของเชื้อโรค
- เลี้ยงปลาในบ่ออย่างหนาแน่น ทำให้ปลาเครียดและติดเชื้อง่าย
โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
โรคตัวด่าง
ปลาที่เป็นโรคนี้จะมีแผลด่างขาวตามลำตัว โรคนี้มักเกิดกับปลาหลังจากการย้ายบ่อการลำเลียงหรือขนส่งเพื่อนำไปเลี้ยง หรือในช่วงที่อุณหภูมิของอากาศมีการเปลี่ยนแปลงในรอบวันแรก ปลาที่ติดโรคนี้จะตายเป็นจำนวนมากอย่างรวดเร็ภายใน 24 – 28 ชั่วโมง
การป้องกันและรักษา
วิธีที่ดีที่สุดที่ควรทำ คือ การปรับปรุงสภาพภายในบ่อให้เหมาะสมเช่น การเพิ่มออกชิเจน และการลดอินทรียสารในน้ำให้น้อยลง
- ใช้ด่างทับทิม จำนวน 1 – 3 กรัม/น้ำ 1,000 ลิตร แช่นาน 24 ชั่วโมง เพื่อการรักษา
- ใช้ฟอร์มาลิน จำนวน 40 – 50 ซีซี./น้ำ 1,000 ลิตร แช่นาน 24 ชั่วโมง
โรคแผลตามลำตัว
โรคแผลตามลำตัวนี้เกิดจาการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดที่ทำลายเม็ดเลือดแดง อาการในระยะเริ่มแรกของโรคนี้บริเวณติดเชื้อจะบวมและมีสีแดง ต่อมาผิวหลังจะเริ่มเปื่อยเป็นแผลลึกลงไปจนเห็นกล้ามเนื้อ โดยแผลที่เกิดจะกระจายทั่วตัว และเป็นสาเหตุให้ปลาติดโรคเชื้อราต่อไปได้
การป้องกันและรักษา
- ใช้ยาต้านจุลชีพ ชนิดซัลฟาไตรเมทโทรพริม ในอัตราส่วน 1 – 2 มิลลิกรัม/น้ำ 1 ลิตร แช่ปลานานประมาณ 2 – 3 วัน
- ใช้ยาต้านจุลชีพ ชนิดออกซี่เตตร้าซัยคลิน ในอัตราส่วน 10 – 30 มิลลิกรัม/น้ำ 1 ลิตร แช่นาน1 – 2 วัน ทำติดต่อกัน 3 – 4 ครั้ง
- การฆ่าเชื้อในบ่อเลี้ยง อาจทำได้โดยใช้ปูนขาวในอัตรา 50 – 60 กิโลกรัม/ไร่
โรคครีบ – หางกร่อน
เป็นโรคที่พบอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับปลาขนาดเล็กเกิดจากการติดเชื้อโรคหลายชนิดทั้งปรสิตและแบคทีเรีย ปลาป่วยระยะแรกจะเกิดการกร่อนบริเวณปลายครีบและครีบก่อนและค่อย ๆ ลามเข้าไปจนทำให้ดูเหมือนว่าครีบมีขนาดเล็กลง ในบางครั้งครีบจะกร่อนไปจนหมด
การป้องกันและรักษา
- ใช้ยาต้านจุลชีพ ชนิดซัลฟาไตรเมทโทรพริมในอัตราส่วน 1 – 2 มิลลิกรัม/น้ำ 1,000 ลิตรแช่ปลานานประมาณ 2 – 3 วัน
- การฆ่าเชื้อในบ่อเลี้ยง อาจทำได้โดยใช้ปูนขาวในอัตรา 50 – 60 กิโลกรัม/ไร่
โรคท้องบวม/โรคกกหูบวม
สาเหตุของโรคท้องบวมเกิดจาการติดเชื้อแบคที่เรีย แอร์โรโมแนส ไฮโดรฟิล่า อาการบวมของปลาที่เป็นโรคนี้มี 2 ลักษณะ คือ ลักษณะที่มีสาเหตุจากกระเพาะหรือลำไส้มีก๊าซมาก ส่วนอีกลักษณะมีเลือดปนน้ำเหลืองในช่องท้อง
การป้องกันและรักษา
- แช่ปลาในยาต้านจุลชีพ ชนิดออกขี่เตตร้าชัยคลิน หรือเตตร้าชัยคลิน ในอัตราส่วน10 – 30 มิลลิกรัม/น้ำ 1 ลิตร แช่นาน 1 – 2 วัน ทำติดต่อกัน 3 – 4 ครั้ง
- การฆ่าเชื้อในบ่อเลี้ยงปลา ควรใช้ปูนขาวโรยให้ทั่วบ่อหลังจากสูบน้ำออกแล้ว
- ไม่ควรเลี้ยงปลาในปริมาณที่แน่นจนเกินไป และควรให้อาหารอย่างเหมาะสม
โรคที่เกิดจากพยาธิภายนอก
โรคจุดขาวหรือโรคอิ๊ก
เกิดจากเชื้อโปรโตซัวจำพวกพยาธิเซลล์เดียวชนิดหนึ่ง มีรูปร่างกลมมี ขนาด 50 -100 ไมครอน มีขนรอบตัว มีนิวเคลียสรูปเกือกม้า เกาะตามตัวปลาและฝังเข้าไปใต้ผิวหนังเป็นจุดขาวๆ เมื่อปรสิตเจริญเต็มที่จะหลุดออกจากตัวปลาไปเกาะตามพื้น
ส่วนใหญ่จะพบในปลาวัยอ่อน ปลาจะขับเมือกออกมามาก มีสีผิวซีด ครีบเปื่อย ว่ายน้ำเชื่องช้า และมีอัตราการตายสูงมากภายในเวลา 2 – 3 วัน
การป้องกันและรักษา
- ใช้ฟอร์มาลีน ที่มีความเข้มข้น 25 มิลลิลิตร/น้ำ 1,000 ลิตร สาดให้ทั่วบ่อ รวมทั้งบ่อที่อยู่ใกล้กันหรือติดกันทุก 3 วันติดต่อกัน 3 ครั้ง
- แซ่ปลาในฟอร์มาลีน เข้มข้น 200 มิลลิลิตร/น้ำ 1,000 ลิตร นาน 1 ชั่วโมง จะได้ผลหลังให้ยาแล้ว 6 ชั่วโมง
โรคที่เกิดจากเห็บระฆัง
เกิดจากโปรโตชัวเกาะอยู่ตามผิวตัวและเหงือกของปลา ซึ่งสร้างความระคายเคืองให้กับตัวปลา และทำให้เป็นแผลตกเลือดขนาดเล็ก กระจายอยู่ตามผิวตัวปลา ในปลาที่เป็นมากจะมีครีบและผิวตัวเปื่อย ปลาจะมีอาการลอยหัว เหงือกซีด ผิวตัว ครีบและรอบปากเปื่อย มีแผลตกเลือดกระจายอยู่ตามลำตัว มีคราบขาวๆ เกาะตามผิวตัวปลา มักเกิดกับปลาวัยอ่อนหรือปลาที่เครียด ซึ่งทำให้เกิดการตายที่รุนแรง
การป้องกันและรักษา
- ใช้ฟอร์มาลีน ที่มีความเข้มข้น 25 มิลลิลิตร/น้ำ 1,000 ลิตรสาดให้ทั่วบ่อ รวมทั้งบ่อที่อยู่ใกล้กันหรือติดกันทุก 3 วันติดต่อกัน 3 ครั้ง หรือ
- แช่ปลาในฟอร์มาลีน เข้มข้น 200 มิลลิลิตร/น้ำ 1,000 ลิตร นาน 1 ชั่วโมง จะได้ผลหลังให้ยาแล้ว6 ชั่วโมง
การจัดการเมื่อปลาเกิดโรค
- ลดหรืองดให้อาหาร
- รักษาคุณภาพน้ำให้ดีอยู่เสมอ โดยเฉพาะปริมาณออกชิเจนที่ละลายในน้ำ (DO)
- เปลี่ยนถ่ายน้ำ เมื่อน้ำเน่เสีย มีกลิ่นเหม็น
- ใช้ยาหรือสารเคมีอย่างชาญฉลาด เท่าที่จำเป็นและมีเหตุผล พร้อมทั้งตระหนักอย่าเสมอว่ายาและสารเคมีมีราคาแพง ถ้าสัตว์น้ำป่วยมาก การใช้ยาและสารเคมีเป็นการซ้ำเติมให้ปลาตายเร็วขึ้น เลือกใช้ยาและสารเคมีให้ตรงกับสาเหตุ
- โรคที่มีสาเหตุจากแบคที่เรียที่ทำให้เกิดโรคภายในร่างกาย ต้องผสมยาปฏิชีวนะให้ปลากินแต่สิ่งที่สำคัญต้องเข้าใจว่า “สัตว์น้ำส่วนใหญ่เมื่อป่วยมากแล้วจะไม่กินอาหาร ดังนั้นการผสมยาในอาหารจะไม่ทำให้การรักษาได้ผล”
- ไม่ควรเคลื่อนย้ายสัตว์น้ำที่ปวยออกนอกพื้นที่ ควรเผาหรือฝังสัตว์น้ำที่ตาย ควรฆ่าเชื้อเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ปนเปื้อนเชื้อโรคด้วยยาฆ่าเชื้อโรค เช่น ด่างทับทิม
- ไม่ควรนำสัตว์น้ำที่ตายแล้ว หรือแช่แข็ง แช่เย็น ไปตรวจวินิจฉัยโรค ตัวอย่างสัตว์น้ำป่วยที่มีชีวิต
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ