ปางอุ๋ง จ. แม่ฮ่องสอน สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทยธรรมชาติสวยงาม

ปางอุ๋ง จ. แม่ฮ่องสอน สวิตเซอร์แลนด์เมืองไทยธรรมชาติสวยงาม

ปางอุ๋ง

ปางอุ๋ง หรือชื่อเต็มว่า โครงการพระราชดำริปางตอง 2 เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของจังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่ใครหลายคนใฝ่ฝันอยากไปสัมผัสสักครั้ง ด้วยบรรยากาศที่เหมือนกับสวิตเซอร์แลนด์ตอนเหนือ ทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

ปางอุ๋ง

ปางอุ๋ง

ปางอุ๋ง

กรุงเทพฯ – แม่ฮ่องสอน

การเดินทางแบบนี้จะใช้เส้นทาง ใช้เส้นทางกรุงเทพ-ฮอด ผ่านเส้นทาง อยุธยา-นครสวรรค์-ตาก ขับยาวไปจนถึง อำเภอลี้ จากนั้นก็แยกซ้ายเข้าอำเภอ ต่อไปจะใช้เส้นทาง ลี้-บ้านโฮ่ง ขับไปเรื่อย ๆ จะมีป้ายบอกว่า เลี้ยวซ้ายไปทะเลสาบดอยเต่า ขับไปจนถึง ฮอด จะเปลี่ยนมาใช้เส้นทาง ฮอด – แม่ฮ่องสอน ขับผ่าน อำเภอขุนยวม มุ่งเข้าสู่ อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน ต่อไปจะเป็นเส้นทางใน อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน  จะใช้เส้นทาง แม่ฮ่องสอน-ปางมะผ้า-ปาย ขับไปเรื่อย ๆ จนผ่าน น้ำตก หุบเขาวง ผาเสื่อ ผ่านพระตำหนักปางตอง จนถึง บ้านหมอกจำแป๋ หมู่บ้านใหญ่จะเป็นจุดแยก ซ้ายไปปางอุ๋ง เลี้ยวซ้าย

ติดต่อสอบถามระเบียบข้อปฏิบัติ การจองห้องพัก และการพักค้างแรมด้วยเต็นท์ ที่ศูนย์ศิลปาชีพ จังหวัดแม่ฮ่องสอน โทร.0-5361-1244 มือถือ 08-5618-3303 โทรสาร 0-5361-1649, 0-5361-1690


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

แกงเลียงกุ้งสด รสชาติกลมกล่อม อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ

แกงเลียงกุ้งสด รสชาติกลมกล่อม อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ

แกงเลียงกุ้งสด

แกงเลียงกุ้งสด เป็นเมนูแกงไทยที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ด้วยรสชาติที่กลมกล่อม หอมเครื่องแกง และมีผักหลากชนิด ทำให้แกงเลียงเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพสูง นอกจากนี้ยังเป็นเมนูที่ทำไม่ยาก สามารถทำทานเองได้ที่บ้าน

ส่วนผสม

  • กุ้งขาว 10-15 ตัว
  • พริกสด 7 เม็ด
  • หอมแดง 5 หัว
  • พริกไทยเม็ด 10-15 เม็ด
  • กุ้งแห้ง 100 กรัม
  • กะปิ 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • ผงปรุงรส 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • เห็ดฟาง 100 กรัม
  • บวบเหลี่ยม 1 ลูก
  • ฟักทองลูกเล็ก 1 ลูก
  • ข้าวโพดอ่อน 10 ฝัก
  • ใบแมงลัก 1 กำ
  • ข้าวโพดต้มสุก

ขั้นตอน

  • ล้างผักแล้วหั่นเตรียมไว้ เด็ดใบโหระพาใส่จาน แกะเปลือกกุ้งผ่าหลังล้างน้ำให้สะอาด
  • ตำกุ้งแห้งให้ละเอียด ใส่พริกสด พริกไทย หอมแดง กะปิ ตำพอแหลกให้เข้ากัน
  • ตั้งน้ำให้เดือด ตักเครื่องแกงในขั้นตอนที่ 2 ใส่หม้อ พอเดือดอีกครั้งใส่ข้าวโพดอ่อน ฟักทอง บวบ เห็ดฟาง ข้าวโพด ปิดฝาหม้อรอเดือดอีกครั้ง ใส่ผงปรุงรสกุ้ง ต้มต่ออีก 1 นาทีปิดเตา. ใส่ใบแมวลักโรยหน้า

บทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

วางแผนเพื่ออนาคต เตรียมความพร้อมก่อนลาออกจากงานประจำ

วางแผนเพื่ออนาคต เตรียมความพร้อมก่อนลาออกจากงานประจำ

เตรียมความพร้อมก่อนลาออกจากงานประจำ

เหตุผล ในการลาออกจากงาน นั้นมีหลากหลาย เช่น อยู่ในองค์กรนี้แล้วไม่มีโอกาสเติบโตเข้ากับเพื่อนร่วมงานไม่ได้ ไม่ได้รับการปรับเงินเดือนสวัสดีการขององค์กรไม่ดีเป็นต้นหลายคนตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่อหาโอกาสใหม่ๆให้กับชีวิต แต่ก่อนที่จะออกจากงานวันนี้ เราต้องมีอะไรบ้าง วางแผนเพื่ออนาคต เตรียมความพร้อมก่อนลาออกจากงานประจำ ไปปรับใช้กัน

1. ต้องมีเงินเก็บอย่างน้อย 6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน

คนส่วนใหญ่ ไม่ค่อยให้ความสำคัญเพราะคิดว่าเงินนั้นหาได้ตลอดเวลาแต่ถ้าคุณอยากออกไปตามความฝันคุณจำเป็นต้องมีนะคะเพราะมันคือที่พึ่งยามยากเผื่อว่าเราไม่มีรายได้ จะได้มีเงินเลี้ยงตัวเอง

2. ต้องรู้จักหางานสำรอง

ชีวิตคนเรามีภาระ ไม่ว่าจะดูแลตัวเอง หรือครอบครัว ดังนั้น ถ้าอยากตามหาความฝันอย่าลืมเผื่อใจไว้และหาทางหนีทีไล่ให้เป็นด้วย

3. ต้องพัฒนาความรู้ ฝึกความสามารถ

คนที่เก่งทั้งหลายมักหาอะไรทำ อยู่ตลอดเวลา เพื่อเพิ่มทักษะความสามารถของตัวเอง

4. ต้องดูแลสุขภาพร่ายกายอย่าให้แย่

เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลค่อนข้างแพงรักษาร่างกายให้แข็งแรงไว้จะดีมากเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวด้วย อีกอย่างถ้าสุขภาพดีหน้าตาสดใส ก็จะเป็นบุคลิกภาพที่ดีของตัวเองด้วย

5. ต้องสร้าง Connection อย่าให้ขาด

การสร้าง Connection ไม่ใช่ การขอเพื่อนกิน แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตการทำธุรกิจหรือตามหาความฝันสำคัญตรงที่มีสังคมมากแค่ไหน สังคมที่จะผลักดันให้เราก้าวหน้าไป

6. ต้องปรึกษาคนสำคัญรอบข้าง

จะออกจากงาน ถามความต้องการคนรอบข้างด้วย พ่อ แม่ และครอบครัวเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราควรใส่ใจพวกเขาด้วย

7. ต้องเตรียมใจเพื่อรับความผิดหวัง

อุปสรรคคือ เครื่องกีดขวาง ที่เราต้องฟันฝ่า ดังนั้น อย่าคิดว่าสิ่งที่เราเลือกคือสิ่งที่ถูกต้องแต่ขอให้เลือกสิ่งที่อยากทำและเหมาะสมกับชีวิตถ้าเลือกทางไหนแล้วอย่าลืมเตรียมใจกับความผิดหวังไว้บ้าง เพื่อจะได้ระวังและไม่หลงไหลในความสุขจนเกินไป

การลาออกจากงานประจำเป็นจุดเริ่มต้นของการเริ่มต้นใหม่ หากคุณวางแผนและเตรียมตัวอย่างดี คุณจะสามารถสร้างอนาคตที่สดใสให้กับตัวเองได้

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อใดหรือไม่? เช่น การวางแผนการเงิน การหางานใหม่ หรือการปรับตัวหลังลาออก

คำสำคัญ: ลาออกจากงาน, วางแผน, เตรียมตัว, การเงิน, อาชีพ, อนาคต

ขอขอบคุณ | manarcoasia


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เทคนิคพัฒนาทักษะชีวิต มุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ

เทคนิคพัฒนาทักษะชีวิต มุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ

เทคนิคพัฒนาทักษะชีวิต

เชื่อว่าหลายคนต้องเคยพบปัญหาเวลาที่ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จนเกิดความหลงใหลและสนุกจนอยากจะพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ที่เรียนรู้นั้นให้กลายเป็นทักษะและความสามารถขึ้นมาหลายๆ ครั้งเราอาจเกิดคำถามว่าเราควรฝึกฝนตัวเองอย่างไร จึงจะเกิดการพัฒนา ทั้งที่เราก็มีความตั้งใจและมุ่งมั่นอยากจะทำให้สิ่งที่ได้เรียนรู้ใหม่นั้น ดีขึ้นอย่างรวดเร็วหรือ แม้กระทั่งการรื้อฟื้นทักษะความสามารถที่ร้างราไปนานให้กลับมาดีได้เหมือนในอดีต ลองฝึกฝนด้วย เทคนิคพัฒนาทักษะชีวิต แล้วทักษะความสามารถที่คุณต้องการก็จะถูกพัฒนาให้ดีได้เร็วขึ้นตาม

ทำไมต้องพัฒนาทักษะชีวิต?

  • ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลง: โลกของเรากำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทักษะชีวิตจะช่วยให้เราสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • แก้ไขปัญหา: เมื่อเจอปัญหาต่างๆ ในชีวิต การมีทักษะชีวิตจะช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์ปัญหาและหาทางออกได้อย่างเหมาะสม
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดี: ทักษะการสื่อสาร การฟัง และการเข้าใจผู้อื่น จะช่วยให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างได้
  • บรรลุเป้าหมาย: การวางแผน การจัดการเวลา และความมุ่งมั่น จะช่วยให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้

เทคนิคพัฒนาทักษะชีวิต มุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ

1. ลืมปัจจัยเรื่องเวลาไปซะ

          เมื่อต้องซ้อมให้เกิดทักษะความชำนาญก็อย่าถามตัวเองว่าใช้เวลาซ้อมมากพอแล้วหรือยัง แต่จงถามตัวเองว่าจำนวนครั้งที่ซ้อมนั้นมากพอจนสามารถเก่งได้มากขึ้นแล้วหรือไม่รู้ไว้เถอะว่าคุณภาพของการฝึกฝนไม่ได้วัดกันที่เวลาในการฝึก แต่เป็นจำนวนครั้งที่ฝึกซ้ำๆ จนเกิดความชำนาญต่างหาก เช่น อย่าตั้งเป้าการฝึกว่าจะทำวันละ 1 ชั่วโมงแต่ให้ตั้งเป้าว่าจะฝึกวันละ 5 รอบแทน เป็นต้น

2. แบ่งทักษะออกเป็นส่วนย่อยๆ

         เราคงเคยได้ยินคำว่าค่อยๆ ทำทีละอย่างมาจนชินหู คำสอนนั้นแหละคือหลักการฝึกทักษะที่ดี เมื่อเราเจอบททดสอบที่อาจดูว่ายากสำหรับเราในช่วงแรกๆที่ไม่เคยทำ ก็ให้ลองแบ่งทักษะนั้นออกเป็นส่วนย่อยๆ ค่อยๆ ฝึกในแต่ละขั้นโดยเริ่มโฟกัสจากสิ่งที่เราชอบมากที่สุดก่อน แล้วค่อยๆร้อยเรียงทักษะแต่ละส่วนเข้าด้วยกันเป็นทักษะใหญ่หนึ่งเรื่องเมื่อทักษะย่อยมีความชำนาญย่อมเกิดเป็นผลดีต่อทักษะใหญ่ด้วย

3.จดจ่อและทำซ้ำๆ

          การทำหลายๆ อย่างพร้อมกันโดยไม่ตั้งใจกับอะไรสักอย่างเลย จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำหลายๆอย่างนั้นออกมาแย่ หรือมีค่าเท่ากับไม่ได้ทำสิ่งนั้นเลยในการฝึกฝนจงอย่าตั้งเป้าว่าจะพัฒนาทักษะให้ดีขึ้นเท่านั้นเท่านี้ แต่ให้ทำสิ่งเล็กๆ ย่อยๆในแต่ละเรื่องให้ออกมาดีให้สมบูรณ์แบบแทบจะ 100% ให้ได้ เช่น นักเทนนิสจะฝึกเสิร์ฟลูกเทนนิสเขาก็จะจดจ่ออยู่กับการเสิร์ฟเป็นร้อยๆ ครั้ง จนได้ตำแหน่งของการเสิร์ฟที่ดีที่สุด ธรรมชาติไมได้สร้างเราขึ้นมาให้เก่งขึ้นใน
ชั่วข้ามคืน แต่สร้างให้เราเรียนรู้ได้และมีพัฒนาการที่เติบโตขึ้นได้ พรสวรรค์เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเก่งแต่การทำซ้ำและทำให้เพอร์เฟคจนทำลายขีดจำกัดของตัวเองได้ต่างหากคือเหตุผลที่จะทำให้เราเก่งขึ้น

4. มองการฝึกซ้อมให้เป็นเกม

        เคล็ดลับนี้เกี่ยวข้องกับทัศนคติของผู้ฝึกทักษะโดยตรง ถ้าเมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกว่าการฝึกซ้อมทักษะอยู่เสมอๆคือความจำเจ ความรู้สึกสนุกก็จะหายไป แต่ถ้าเรามองว่าการฝึกฝนตนเองเป็นเกม สิ่งที่ทำได้คือแต้มสมองก็จะสร้างความท้าทายขึ้นมาและจะทำให้เราบรรลุจุดประสงค์ได้ง่ายขึ้น

5. ฝึกตามลำพังในพื้นที่จำกัด

         เคล็ดลับของการซ้อมตามลำพัง คือ การไม่มีความกดดันจากรอบข้าง ส่วนการฝึกในที่แคบจะทำให้เราโฟกัสกับการฝึกและเห็นเป้าหมายได้ชัดเจนกว่าเดิม เพราะพื้นที่ที่จำกัดจะสร้างกรอบความท้าทายที่เราต้องทำให้ได้ เช่นในด้านการฝึกความคิด การกำหนดจำนวนตัวอักษรจะท้าทายนักคิดว่า ข้อความแค่ไหนถึงจะเพียงพอต่อก้อนความคิด ที่จะสามารถสื่อสาร ออกไปได้รู้เรื่อง เมื่อเงื่อนไขของพื้นที่มีจำกัดอยู่เพียงเท่านี้ส่วนสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราพัฒนาไปได้ไกล คือ การทำทักษะนั้นซ้ำๆ ให้มากๆ และอยู่กับตัวเองมากๆ จนหาขีดความสามารถของตนเองพบแล้วมองหาข้อผิดพลาด จากนั้นลงมือแก้ไขสิ่งผิดพลาดนั้นทันที แม้จะเป็นข้อผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็ตาม ความกดดันจากความผิดพลาดจะบีบคั้นให้เราไม่อยากทำผิดซ้ำๆ ท้ายที่สุดทักษะที่ถูกต้องก็จะเกิดขึ้นจากความ พยายาม แก้ไขมันอยู่เรื่อยๆ นั่นเอง

6.คิดให้เป็นภาพ

            การคิด การหลับตา หรือการใช้ภาษากายในการฝึกฝนให้เหมือนว่าเรากำลังแสดงละครใบ้อยู่นั้นถือเป็นปิดการรับรู้สิ่งรบกวนภายนอกได้เป็นอย่างดี ทำให้เราเข้าสู่ความนิ่งจนเกิดสมาธิได้เร็วขึ้นจนเราสามารถจดจ่ออยู่กับจินตนาการซึ่งจินตนาการที่เราสร้างภาพขึ้นมาจะเชื่อมโยงกับความรู้สึกหรือพฤติกรรมของเราได้ง่ายกว่าคำพูด การพัฒนาทักษะต่างๆ จึงเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า

7.พักสักงีบ

            การงีบหลับจะช่วยให้เรียนรู้ได้ดีขึ้น เพราะสมอง ใช้พื้นที่ความทรงจำในการเก็บข้อมูลมหาศาลจึงต้องการเวลาพักเพื่อเอาความทรงจำและทักษะที่ได้ฝึกฝนไปบรรจุไว้ในเซลล์ ความจำบรรดาอัจริยะระดับโลกหลายคนล้วนเป็นนักงีบกันทั้งนั้น อย่างอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เองก็มักงีบระหว่างมื้อกลางวัน วันละ 20 นาที ซึ่งนักวิจัยประจำมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ได้ค้นพบว่าการงีบหลับ 90 นาที จะช่วยให้ความจำของเราจำได้ดีขึ้นถึง 10 % แต่ก็ใช่ว่าเราจะใช้การงีบหลับมาเป็นข้ออ้างให้เราฝึกฝนทักษะด้านต่างๆ ได้น้อยลง จำไว้เถอะว่าไม่มีใครทำเราให้เก่งขึ้นได้นอกจากตัวเราและวินัยจากตัวเราเองเท่านั้นที่จะนำพาเราไปสู่ความสำเร็จ

สรุป

การพัฒนาทักษะชีวิตเป็นกระบวนการที่ต้องใช้ความพยายามและเวลา แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะคุ้มค่าอย่างแน่นอน ทักษะชีวิตจะช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข มีความมั่นใจ และประสบความสำเร็จในทุกด้านของชีวิต

อ้างอิง : THE LITTLE BOOK OF TALENT


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เที่ยวร้อยเอ็ด สัมผัสเสน่ห์วัฒนธรรมโบราณ แดนอีสาน

เที่ยวร้อยเอ็ด สัมผัสเสน่ห์วัฒนธรรมโบราณ แดนอีสาน

เที่ยวร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ดที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมประเพณีอันงดงาม และธรรมชาติที่สวยงาม รอให้คุณมาสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอารามเก่าแก่ โบราณสถานอันน่าทึ่ง หรือธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ร้อยเอ็ดมีทุกอย่างที่คุณต้องการสำหรับการพักผ่อน ที่เที่ยวที่ไม่ควรพลาดในร้อยเอ็ด

1. หอโหวด 101

หอโหวด 101 เป็นแลนด์มาร์คที่โดดเด่นและทันสมัยของจังหวัดร้อยเอ็ด สถาปัตยกรรมรูปทรงโหวดที่เป็นเอกลักษณ์นี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของจังหวัด และเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการชมวิวเมืองร้อยเอ็ดแบบพาโนรามา

หอโหวด 101

ขอบคุณภาพจาก Facebook | Pratya Huadsri

  • ที่อยู่ : ถนนสุริยเดชบำรุง ตำบลในเมือง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/CAzavGmudppdijzT9
  • เปิดให้เข้าชม : 10.00-16.00 น. และ 17.00-21.00 น.
  • เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/RoiEtTower/




2.บึงพลาญชัย

บึงใหญ่กลางเมืองร้อยเอ็ดที่มีลักษณะเป็นเกาะกลางน้ำ ที่ถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ของเมืองร้อยเอ็ด และกลายมาเป็นแลนด์มาร์คที่ผู้คนนิยมมาพักผ่อนหย่อนใจ ภายในเนื้อที่กว้างขวางถึงประมาณ 2 แสนตารางเมตรแห่งนี้ มีทั้งสวนไม้ดอกไม้ประดับขนาดใหญ่ รวมถึงยังมีจักรยานน้ำและกิจกรรมมากมายให้ได้เพลินกัน นอกจากนั้นยังมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้ผู้คนได้แวะไปกราบไหว้ขอพรกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นศาลหลักเมืองหรือองค์พระพุทธรูปปางลีลาขนาดใหญ่ เป็นพิกัดที่ไปพักผ่อนก็ได้ไปไหว้พระก็ดีเชียว

บึงพลาญชัย

  • ที่อยู่ : ถนนพลาญชัย ตำบลในเมือง อำเภอเมืองร้อยเอ็ด จังหวัดร้อยเอ็ด
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/rysHeGQD1LjApuDF9
  • เปิดให้เข้าชม : 04.00-21.00 น.

3. เจดีย์หินทราย วัดป่ากุง หรือวัดประชาคมวนาราม

เจดีย์ขนาดใหญ่ ทำจากหินทรายธรรมชาติเป็นแห่งแรกในประเทศไทย นับเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนสถานที่สวยงาม และยิ่งใหญ่ โดยจำลองแบบ การก่อสร้างมาจากบุโรพุทโธ ประเทศอินโดนีเซีย โดยก่อสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ครบรอบ 90 ปี พรรษา 60 ที่มาของการก่อสร้างเจดีย์หิน คราวเมื่อพระเดชพระคุณหลวงปู่ศรี มหาวีโร พระเกจิอาจารย์ฝ่ายกัมมัฏฐานชื่อดังแห่งภาคอีสานได้ไปปฏิบัติศาสนกิจจำพรรษาที่ ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อ พ.ศ.2531

เจดีย์หินทราย วัดป่ากุง

ขอบคุณที่มา | เพจวัดประชาคมวนาราม-ป่ากุง

  • กิจกรรมน่าสนใจ : ไหว้พระ ทำบุญ ถ่ายภาพ
  • ที่ตั้ง อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด
  • Google map : goo.gl/maps/SfGkwW588iG2
  • Youtube : youtu.be/K6obeOXLpVE
  • เวลาเปิดทำการ : ทั้งวัน
  • โทร 043227714-5
  • Facebook : facebook.com/TAT.KhonkaenOffice

3. วัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง)

นับเป็นวัดสวยอีกแห่งที่สายบุญไม่ควรพลาด แถมยังเหมาะกับคนที่อยากหาโอกาสไปชมบูโรพุทโธเมืองอินโดฯ ซักครั้ง แต่ยังไปไม่ได้ เพราะนี่คือเจดีย์หินทรายธรรมชาติแห่งแรกของประเทศไทยซึ่งสร้างโดยใช้บูโรพุทโธเป็นต้นแบบ ตัวเจดีย์มีทั้งหมด 7 ชั้น ซึ่งบริเวณกลางองค์เจดีย์ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศอินเดีย บริเวณยอดเจดีย์เป็นทองคำน้ำหนักถึง 101 บาท เป็นอีกพิกัดที่มาเที่ยวก็ได้

วัดประชาคมวนาราม

  • ที่อยู่ : หมู่11 ตำบลศรีสมเด็จ อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด
  • พิกัด : https://goo.gl/maps/NjeU8o7B4XUZq3gG7
  • เปิดให้เข้าชม : 08.00-18.00 น.

4. น้ำตกถ้ำโสดา

ความ unseen ของน้ำตกถ้ำโสดา น้ำตกถ้ำโสดา เป็นอีกหนึ่งสวรรค์ของคนรักธรรมชาติที่ซ่อนตัวอยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ด น้ำตกแห่งนี้มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องของความสวยงามของธรรมชาติ และเรื่องราวตำนานที่น่าสนใจ

ตำนานน้ำตกถ้ำโสดา

เล่ากันว่าในสมัยสร้างพระธาตุพนม มีชายหญิงคู่หนึ่งชื่อ โส และ ดา ต้องการนำเงินและทองคำไปบรรจุพระธาตุพนม ระหว่างทางได้พบถ้ำแห่งหนึ่งจึงใช้เป็นที่พัก และต่อมาชาวบ้านจึงเรียกถ้ำแห่งนี้ว่า “ถ้ำโสดา” และเมื่อมีน้ำตกอยู่ใกล้ๆ จึงเรียกชื่อรวมกันว่า “น้ำตกถ้ำโสดา”

น้ำตกถ้ำโสดา

ขอบคุณที่มา | เพจกาฬสินธุ์ไกด์ : กิน เที่ยว พัก ฮักกะสิน

เส้นทาง : จากตัวเมืองกาฬสินธุ์ ใช้เส้นทาง กาฬสินธุ์-สี่แยกอำเภอโพธิ์ชัย-ตัวอำเภอโพธิ์ชัย-อำเภอโพนทอง-อำเภอหนองพอก-บ้านขุมขี้มัน-บ้านโนนสมบูณ์ รวมระยะทางประมาณ 110 กม.

5. เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาน้ำทิพย์

เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาน้ำทิพย์ เดิมมีชื่อว่า หมอกบ่วาย เป็นเทือกเขาหินทรายสูงชันและสลับซับซ้อน ประกอบด้วยป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรัง ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์ ส่วนสัตว์ป่าที่พบในพื้นที่ป่าแห่งนี้ ได้แก่ หมูป่า เก้ง สุนัขจิ้งจอก ลิง กระรอก กระแต เป็นต้น บริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาน้ำทิพย์เป็นจุดที่มองเห็นวิวทิวทัศน์ธรรมชาติอันสวยงาม และมีหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี โดยจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจฯ คือ ผาภูไท ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้น และผาหมอกมิวาย ซึ่งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตก ที่สวยงาม และบริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาน้ำทิพย์ยัง มีบริการบ้านพักและสถานที่สำหรับกางเต็นท์ ถ้าหากต้องการเข้าพักเป็นหมู่คณะ และต้องการเจ้าหน้าที่นำทาง จำเป็นต้องทำหนังสือติดต่อล่วงหน้าถึงหัวหน้าสวนพฤกษศาสตร์และวรรณคดีภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั่นเอง
เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาน้ำทิพย์

5. กู่กาสิงห์

โบราณสถานแบบเขมรที่มีความเก่าแก่ของจังหวัดร้อยเอ็ด มีลักษณะคล้ายสถูปหรือเจดีย์เก่าแก่มีขนาดค่อนข้างใหญ่และได้รับการขุดแต่งและบูรณะจากหน่วยงานสำนักงานโบราณคดี และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ 8 อุบลราชธานี ปัจจุบันพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในภาคอีสาน

กู่กาสิงห์

ขอบคุณที่มา | เพจบ่าวทุ่งกุลา channel

ที่อยู่ : วัดบูรพากู่กาสิงห์ หมู่ 3 ตำบลกู่กาสิงห์ อำเภอเกษตรวิสัย ร้อยเอ็ด
เวลาเปิด – ปิด: ทุกวัน 8.00-18.00น.
พิกัด : https://goo.gl/maps/EL1Ztnrh2d8RxNja8

ร้อยเอ็ด เป็นจังหวัดที่น่าสนใจและมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก หากคุณกำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่แตกต่างจากที่อื่นๆ ร้อยเอ็ดคือคำตอบ




บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เที่ยวกาญจนบุรี สัมผัสเสน่ห์ธรรมชาติและประวัติศาสตร์

เที่ยวกาญจนบุรี สัมผัสเสน่ห์ธรรมชาติและประวัติศาสตร์

เที่ยวกาญจนบุรี จังหวัดที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ประวัติศาสตร์อันยาวนาน และวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทำให้เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวหลงใหล ไม่ว่าจะเป็นการผจญภัยกลางธรรมชาติ ชื่นชมทัศนียภาพอันสวยงาม หรือเรียนรู้เรื่องราวในอดีต กาญจนบุรีก็มีทุกอย่างให้คุณได้สัมผัส ฤดูหนาวช่วงเดือน พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ เป็นช่วงที่อากาศกำลังเย็นสบาย เหมาะกับการพักผ่อน และท่องเที่ยวกาญจนบุรีแบบใกล้ชิดธรรมชาติแสนสดชื่น




1. สะพานข้ามแม่น้ำแคว (River Kwai Bridge) สัญลักษณ์แห่งประวัติศาสตร์และสันติภาพ

สะพานข้ามแม่น้ำแคว เป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของจังหวัดกาญจนบุรี ที่มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันยาวนานและน่าสนใจ เป็นสะพานที่สร้างขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่น โดยใช้แรงงานเชลยศึกจากชาติพันธมิตรและกรรมกรชาวเอเชีย ทำให้สะพานแห่งนี้ถูกเรียกว่า “สะพานแห่งความตาย” หรือ “สะพานรถไฟสายมรณะ” เนื่องจากมีเชลยศึกจำนวนมากเสียชีวิตระหว่างการก่อสร้าง

สะพานข้ามแม่น้ำแคว

  • เวลาทำการ : เปิด 24 ชั่วโมง
  • ที่อยู่ : ถ.ท่ามะขาม ต.บ้านเหนือ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี 
  • พิกัด : https://maps.app.goo.gl/uymmhCfNsGZUcyX26 

2. ทางรถไฟสายมรณะ (Burma Railway)

อีกหนึ่งแลนด์มาร์ค ที่ไปเที่ยวกาญจนบุรี เป็นจุดชมวิวที่นักท่องเที่ยวต้องไปเช็กอิน เพราะเป็นเส้นทางรถไฟ ไทย–พม่า ที่สร้างขึ้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นอนุสรณ์แก่ผู้เสียชีวิตในสงครามที่สร้างทางรถไฟแห่งนี้ เส้นทางรถไฟจะมีความหวาดเสียวเพราะอยู่ติดกับหน้าผาแต่ก็แลกมาด้วยวิวสวยที่หาได้เพียงแค่ที่กาญจนบุรีเท่านั้น

ทางรถไฟสายมรณะ

  • เวลาทำการ : จันทร์-อาทิตย์ 07.00-18.00 น.
  • ที่อยู่ : ต.ลุ่มสุ่ม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
  • พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Qjqq3S2nUTej7PoC9

3. น้ำตกไทรโยคน้อย (Sai Yok Noi Waterfall)

น้ำตกไทรโยคน้อย หรืออีกชื่อหนึ่งว่า น้ำตกเขาพัง เป็นหนึ่งในน้ำตกที่ได้รับความนิยมอย่างมากในจังหวัดกาญจนบุรี ด้วยความสวยงามของธรรมชาติและความสะดวกในการเดินทาง ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติหลั่งไหลมาเยือนกันอย่างไม่ขาดสาย 

น้ำตกไทรโยคน้อย

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการมาเที่ยว

ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการมาเที่ยวน้ำตกไทรโยคน้อยคือ ช่วงฤดูฝน (ประมาณเดือนกรกฎาคม – ตุลาคม) เพราะน้ำตกจะมีน้ำมากและสวยงามที่สุด แต่หากกลัวฝนก็สามารถมาเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

  • เวลาทำการ : ทุกวัน 08.00-17.00 น.
  • ที่อยู่ : ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี 
  • พิกัด : https://maps.app.goo.gl/ZuUeJYWApwTtTk278 
  • ค่าเข้าสถานที่ : ผู้ใหญ่ 60 บาท เด็ก 30 บาท
  • เบอร์โทร : 034 686 024

4. น้ำตกเอราวัณ (Erawan Waterfall)

น้ำตกเอราวัณ มีอีกชื่อว่า “น้ำตกสะด่องม่องลาย” เป็นน้ำตกที่สวยงาม และมีขนาดใหญ่แห่งกาญจนบุรี แล้วเรื่องความสวยงามก็ไม่แพ้น้ำตกที่ไหนๆ สำหรับคนที่ชอบเที่ยวน้ำตก เดินป่า ยังไม่เคยมาเที่ยวแนะนำว่า ต้องมาให้ได้สักครั้งนึง อยู่ในอุทยานแห่งชาติเอราวัณ มีต้นน้ำมาจากลำห้วยม่องลาย และจะไหลลงสู่แม่น้ำแควใหญ่ น้ำตกที่มี 7 ชั้น สีของน้ำจะใสเป็นสีฟ้าอมเขียว และบริเวณน้ำตกชั้นที่ 1 – 4 จะมีปลาพลวงเยอะมากได้ชมแบบใกล้ชิดกันเลย

น้ำตกเอราวัณ

  • เวลาทำการ : ทุกวัน 07.00 – 16.30 น.
  • ที่อยู่ : ต.ท่ากระดาน อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี 
  • พิกัด : https://maps.app.goo.gl/GDS4ke2aWuBSEQV88 
  • ค่าเข้าสถานที่ : ชาวไทย ผู้ใหญ่ 100 บาท เด็ก 50 บาท ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 300 บาท เด็ก 200 บาท

5. เขาแหลมสกายวอล์ค (Khao Laem Sky Walk)

ที่เที่ยวกาญจนบุรี ใกล้ธรรมชาติ เขาแหลมสกายวอล์ค เป็นแลนด์มาร์คใหม่ที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในประเทศไทย ด้วยสะพานกระจกใสที่ทอดยาวออกไปในทะเล ให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์เดินบนทะเลราวกับอยู่ในหนังไซไฟ พร้อมกับชมวิวทิวทัศน์อันงดงามของท้องทะเลได้แบบ 360 องศา

เขาแหลมสกายวอล์ค

  • เวลาทำการ : ทุกวัน 06.00 – 21.00 น.
  • ที่อยู่ : ต.ท่าขนุน อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี 
  • พิกัด : https://maps.app.goo.gl/g1DJXPEiqCMMsVr27 
  • ค่าเข้าสถานที่ : เข้าฟรี
  • เบอร์โทร : 034 599 077

6. หมู่บ้านอีต่อง (E-Tong Village) ดินแดนแห่งสายหมอกและเสน่ห์แห่งขุนเขา

หมู่บ้านอีต่อง หรือที่รู้จักกันในชื่อ เหมืองปิล็อก ตั้งอยู่ที่ตำบลปิล็อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางขุนเขาและธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ทำให้อีต่องมีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี และมีทะเลหมอกปกคลุมในช่วงเช้า ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด

หมู่บ้านอีต่อง (E-Tong Village)

ขอบคุณภาพจาก Facebook | zine story : ซายสตอรี่

ประวัติความเป็นมา

ในอดีต อีต่องเคยเป็นแหล่งผลิตแร่ดีบุกที่สำคัญของประเทศไทย มีชุมชนคนงานเหมืองอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อราคาแร่ดีบุกตกต่ำลง เหมืองแร่ก็ปิดตัวลง ทำให้ชุมชนเงียบเหงาลง แต่ด้วยความสวยงามของธรรมชาติและอากาศที่เย็นสบาย ทำให้อีต่องค่อยๆ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากขึ้น

7.เขาสันหนอกวัว (Khao San Nok Wua) ยอดเขาสูงที่สุดในกาญจนบุรี

เขาสันหนอกวัว เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักเดินป่าและผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติในจังหวัดกาญจนบุรี ด้วยความสูง 1,767 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ทำให้เขาสันหนอกวัวเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติเขาแหลม และเป็นหนึ่งในสิบยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย

เขาสันหนอกวัว

ขอบคุณรูปภาพ facebook.com/Nuttawut Ketgrut

  • เวลาทำการ : ทุกวัน 9.00-16.00 น.
  • ที่อยู่ : ต.ชะแล อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
  • พิกัด : https://maps.app.goo.gl/4SkC8aPywDrfD7fk6
  • ค่าเข้าสถานที่ : ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท
  • เบอร์โทร : 034 510 431

8. เขาช้างเผือก (Khao Chang Phueak)

เขาช้างเผือก เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักเดินป่าที่ต้องการพิชิตยอดเขาและสัมผัสธรรมชาติอันบริสุทธิ์ ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ด้วยความสูง 1,249 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง ทำให้เขาช้างเผือกเป็นภูเขาที่สูงเป็นอันดับสามของจังหวัดกาญจนบุรี และมีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่นักเดินทาง

เขาช้างเผือก (Khao Chang Phueak)

ขอบคุณรูปภาพ facebook.com/Kafewzz Sripart

  • เวลาทำการ : ทุกวัน 08.00-16.30 น.
  • ที่อยู่ : ต.ปิล๊อก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
  • พิกัด : https://maps.app.goo.gl/4SkC8aPywDrfD7fk6
  • ค่าเข้าสถานที่ : ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท
  • เบอร์โทร : 098 252 0359



9. บ่อน้ำพุร้อนหินดาด (Hindad Hot Spring)

น้ำพุร้อนหินดาด เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในจังหวัดกาญจนบุรี ที่นี่ไม่เพียงแค่มีธรรมชาติที่สวยงาม แต่ยังมีบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ ซึ่งเชื่อกันว่ามีสรรพคุณทางยา ช่วยรักษาโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อย และทำให้ร่างกายผ่อนคลาย

บ่อน้ำพุร้อนหินดาด (Hindad Hot Spring)

  • เวลาทำการ : จันทร์-ศุกร์ 06.00 – 22.00 น. เสาร์ อาทิตย์ 06.00 – 22.30 น.
  • ที่อยู่ : บ้านกุยมั่ง ม.6 ต.หินดาด อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี 
  • พิกัด : https://maps.app.goo.gl/mfkXF9upgtxmtFGQ8
  • ค่าเข้าสถานที่ : ชาวไทย ผู้ใหญ่ 10 บาท เด็ก 5 บาท ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท
  • เบอร์โทร : 034 685 839

เที่ยวกาญจนบุรี เป็นจังหวัดที่น่าเที่ยวตลอดทั้งปี แต่ช่วงฤดูหนาวจะเป็นช่วงที่อากาศดีที่สุด เหมาะแก่การท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง หากคุณมีโอกาสได้มาเยือนกาญจนบุรี อย่าลืมมาสัมผัสประสบการณ์ดีๆ ที่นี่นะคะ


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

สูตรผัดหมี่ซั่วโคราช ผัดแบบง่ายๆ ไม่ต้องยุ่งยาก

สูตรผัดหมี่ซั่วโคราช ผัดแบบง่ายๆ ไม่ต้องยุ่งยาก

สูตรผัดหมี่ซั่วโคราช

วันนี้เอา สูตรผัดหมี่ซั่วโคราช มาฝาก เหตุที่เรียกว่าผัดหมี่ซั่วโคราชก็เพราะว่ามันใช้เส้นหมี่โคราชผัดนั่นเอง ผัดหมี่โคราช เมนูประจำจังหวัดนครราชสีมา ผัดยังไงให้เหนียวนุ่มอร่อย มีเคล็ดลับและ วิธีทำผัดหมี่โคราช มาฝาก พร้อมสูตรน้ำปรุงรสเด็ด รับรองว่า ทำเองง่าย ๆ ที่บ้าน ไม่ต้องไปถึงเมืองย่าโม ก็ทำทานเองได้แน่นอนมาดูกันเลยจ๊ะว่า ผัดหมี่ซั่วโคราชของเรา ต้องเตรียมอะไรบ้าง

ส่วนประกอบ

  • หมี่โคราชห่อเล็ก 2 ห่อ
  • แครอท 1/4 หัว
  • เห็ดหอมสด 5 ดอก
  • ต้นห้อม 3 ต้น
  • น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ
  • ข้าวโพดหวาน 2 ช้อนโต๊ะ
  • ผัดกาดขาว 2 ใบ
  • ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา
  • ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
  • ซอสหอยนางรม 1 – 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมัน 2 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียมกลีบใหญ่ 2 กลีบ

วิธีทำผัดหมี่ซั่วโคราช

  1. ล้างทำความสะอาดวัตถุดิบของเราให้สะอาดไม่ว่าจะเป็น ต้นหอม แครอท เห็ดหอมสด ผักกาดขาว กระเทียมแกะเปลือก นำมาล้างทำความสะอาดให้หมด
  2. นำน้ำใสหม้อตั้งเตารอให้น้ำเดือด ระหว่างรอน้ำเดือดเตรียมหั่นต้นหอม แครอท รอ ต้นหอมจะหันเป็นท่อนๆ ยาวประมาณ 2 นิ้ว หั่นเป็นท่อนๆ ผักกาดขาวก็เช่นกัน หั่นเตรียมรอไว้ แครอทวันนี้เราแอบทำเป็นรูปดอกไม้ แทนคำอวยพรให้พี่สาวเจอแต่สดชื่นสดใส ส่วนเห็ดหอมก็หั่นเป็นชิ้นๆตามยาวใครชอบแบบไหนก็จัดกันไปได้เลยคะไม่มีกฎตายตัวอยู่แล้ว หั่นเตรียมไว้
  3. หันไปดูป่านนี้น้ำคงเดือดแล้ว ก็ทำการแกะห่อหมี่โคราชของเรา นำไปลวกน้ำอารมณ์เหมือนลวกเส้นมาม่านั่นแหละคะ เส้นนิ่มแล้วก็ตักออกมาให้เสร็จน้ำ
  4. ตำกระเทียมหรือทุบก็ได้แล้วแต่สะดวกเลยคะ จากนั้นนำกระทะตั้งเตาให้ร้อนเทน้ำมันลงไป
  5. จากนั้นเอากระเทียมลงไปผัดให้หอม ตามด้วยแครอท ข้าวโพดหวาน ผักกาดขาว และเห็ดหอมนำลงไปผัด พอเริ่มสลบแล้วก็นำหมี่โคราชของเราลงไปผัด ปรุงรสด้วย น้ำตาล ซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม ผัดให้เข้ากัน เมื่อแลดูเข้ากันแล้วนำต้นหอมของเราลงไปผัดเพิ่มสีสันอีกสักนิด พอให้สลบก็ปิดเตาได้เลยเป็นอันเสร็จเรียบร้อย

และแล้วก็ได้แล้ว ผัดหมี่ซั่วโคราช อาหารมงคลที่ทำมาจากใจ สุขทั้งผู้ให้และผู้ได้รับไม่รู้คิดไปเองหรือป่าว ลากันไปก่อนคะสำหรับวันนี้ พบกันใหม่เมนูหน้านะ ^^




บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

แกงแคไก่ สูตรดั้งเดิม ผักครบ เครื่องแกงถึง

แกงแคไก่ สูตรดั้งเดิม ผักครบ เครื่องแกงถึง

แกงแคไก่

แกงแคไก่ เป็นแกงที่ประกอบด้วยผักหลายชนิด และมีเนื้อสัตว์เป็นส่วนผสมด้วยหนึ่งอย่าง เรียกชื่อแกงแคตามชนิดของเนื้อสัตว์ที่นำมาเป็นส่วนผสมนั้น เช่น แกงแคไก่ แกงแคกบ แกงแคจิ๊นงัว แกงแคปลาแห้ง ผักที่เป็นส่วนผสมหลัก ส่วนใหญ่ประกอบด้วย ผักตำลึง ผักชะอม ใบชะพลู ผักชีฝรั่ง มะเขือพวง เห็ดลมอ่อน ผักเผ็ด และดอกแค

ส่วนผสมแกงแคไก่

  • เนื้อไก่บ้าน 200 กรัม
  • ตำลึง 1 ถ้วย
  • ชะอม 1/2 ถ้วย
  • ชะพลู 1/2 ถ้วย
  • ถั่วฝักยาว 1/2 ถ้วย
  • มะเขือเปราะ 1/2 ถ้วย
  • มะเขือพวง 1/4 ถ้วย
  • ดอกงิ้วแห้ง 5 ดอก
  • เห็ดลมอ่อน 1/2 ถ้วย
  • ถั่วพู 1/2 ถ้วย
  • ผักขี้หูด 1/2 ถ้วย
  • ผักเผ็ด 1/2 ถ้วย
  • ดอกข่า 3 ดอก
  • ใบมะกรูด 5 ใบ
  • ผักชีฝรั่ง 2 ต้น
  • น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียม 1 ช้อนโต๊ะ

เครื่องแกงแกงแคไก่

  • พริกขี้หนูแห้ง 15 เม็ด
  • กระเทียมไทย 10 กลีบ
  • หอมแดง 4 หัว
  • ข่าหั่น 1 ช้อนโต๊ะ
  • ตะไคร้ซอย 2 ช้อนโต๊ะ
  • กะปิแกง 1 ช้อนชา
  • ปลาร้าต้มสุก 1 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ 1/2 ช้อนชา
  • เม็ดผักชีแห้ง / มะแขว่น
  • ผงปรุงรส น้ำปลาดี ผงชูรสนิดหน่อยตามชอบ

วิธีการทำ

  • สับไก่เป็นชิ้นพอคำ
  • เด็ดหรือหั่นผักทุกชนิด ล้างให้สะอาด พักไว้ โขลกเครื่องแกงรวมกันให้ละเอียด
  • เจียวกระเทียมที่สับแล้วพอเหลือง ใส่เครื่องแกงลงผัดให้หอม ใส่ไก่ ผัดไก่ให้สุก
  • ใส่น้ำพอท่วมไก่ ตั้งต่อให้เดือด ใส่ผักสุกยาก ตามด้วยผักที่สุกง่าย คนให้เข้ากัน พอผักสุก ชิมปรุงรสตามชอบ ปิดไฟ ตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟ

เคล็ดลับในการปรุง

สำหรับการคั่วหรือผัดเครื่องแกง ใช้ไฟปานกลาง เครื่องแกงบางสูตรอาจใส่เม็ดผักชี มะแขว่น ใบขิง หน่อข่า เพื่อเพิ่มกลิ่นหอมของแกงแค ผักที่ใช้เป็นส่วนผสม สามารถใส่ผักชนิดอื่นๆได้ เช่น หน่อไม้ต้ม ยอดมะพร้าว จักค่านแห้ง ดอกแคขาว ดอกแคแดง

เคล็ดลับในการเลือกส่วนผสม
ถ้าเป็นแกงแคไก่ ควรใช้ไก่บ้าน รสชาติน้ำแกงจะกลมกล่อม พริกขี้หนูแห้งที่ใช้ ควรใช้พริกขี้หนูยอดสนแห้ง ผสมกับพริกขี้หนูสวนอย่างละครึ่ง

📷 จงกลณี ม่วงศรี





บทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

โรคหูดในวัว (Warts Disease)

โรคหูดในวัว (Warts Disease)

โรคหูดในวัว

โรคหูดในวัว เป็นโรคติดต่อซึ่งมักพบในลูกสัตว์อายุต่ำกว่า 2 ปี มากกว่าสัตว์ที่มีอายุมาก ความสูญเสียทางเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นได้ถ้าเกิดเป็นแบบกระจายทั่วตัว หรือเม็ดหูดมีขนาดใหญ่มากจนรบกวน หน้าที่ตามปกติของอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย

สาเหตุ : แพบพิโลม่าไวรัส/ โบวาย แพบพิลโลม่าไวรัส

อาการ : เกิดเป็นเม็ดหูดหลังการติดเชื้อ 4-6 สัปดาห์

การควบคุมและป้องกัน

ทำความสะอาดคอกสัตว์ อย่าให้มีสิ่งของแหลมคมซึ่งอาจขีดข่วนผิวหนังทำให้ติดเชื้อได้ง่าย กำจัดแมลงดูดเลือดหรือยุง ซึ่งอาจนำเชื้อมาสู่สัตว์ตัวอื่นได้

วิธีการแก้ไขโรคหูดในวัว ที่ผู้เลี้ยงโคนม สามารถทำวัคซีนได้ด้วยตัวเอง

  • ให้ตัดหูดที่ตัววัวให้ได้มากที่สุด โดยให้สังเกตหัวที่ใหญ่ที่สุด (หัวแม่) เอาไปล้างแล้วบดหรือสับให้ละเอียด แล้วไปผึ่งลมให้แห้ง (ห้ามผึ่งแดด) หากไม่ทำทันทีให้นำหูดไปแช่ไว้ในช่องฟิตของตู้เย็น
  • นำน้ำกลั่น หรือน้ำเกลือ (นอมอล คลอไรด์ ) อย่างละ 1 ลิตร (1,000 ซีซี) อย่างใดอย่างหนึ่ง ผสมฟลอมารีน 15 ซีซี (ความเข้มข้น 15% ) จะได้เป็นน้ำยาตั้งต้น
  • เอาหูดที่ได้มาเทลงไปในแก้วหรือบิกเกอร์ประมาณครึ่งแก้ว แล้วเอาน้ำยาตั้งต้นเทลงไปในแก้ว 60 ซีซี จะมากกว่า 60 ซีซี ก็ได้เผื่อหก
  • ตั้งทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง ในอุณหภูมิห้อง แล้วเอามากรองด้วยกระดาษ หรือผ้ากรองนมที่ละเอียด จะได้น้ำยา วัคซีน โดยนำน้ำยาที่ได้ 60 ซีซี ไปฉีดเข้ากล้ามเนื้อของวัวที่เป็นหูด 20 ซีซี ฉีดอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ประมาณ 3 อาทิตย์ หัวหูด จะเริ่มค่อยๆ หลุด ส่วนน้ำยาที่เหลือก็สามารถเก็บรักษาใส่ขวดไว้ในช่องฟิตได้




นอกจากนี้ ยังมีอีกวิธีการหนึ่งคือรักษาโดยใช้เข็มบ่งเม็ดตุ่มหูด ให้เป็นแผลมีเลือดไหลซิบ ๆ ก่อน แล้วใช้ไม้พันสำลีจุ่มน้ำยาตั้งตน ทาลงบนแผลที่บ่งหูดวัวทุกวัน วันละ 1 ครั้ง ภายใน 5-7 วัน เม็ดตุ่มหูดก็จะหาย แต่วิธีนี้จะไม่ปลอดภัย อาจจะเกิดติดเชื้อโรคเข้าแผลได้ ทำให้เกิดเป็นแผลเรื้อรัง จึงไม่แนะนำ

ที่มา : สำนักงานปศสัตว์อำเภอไทรน้อย


บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

แกงส้มผักกระเฉดกุ้งสด รสเปรี้ยวแซ่บ อร่อยโดนใจ

แกงส้มผักกระเฉดกุ้งสด รสเปรี้ยวแซ่บ อร่อยโดนใจ

แกงส้มผักกระเฉดกุ้งสด

แกงส้มผักกระเฉดกุ้งสด อาหารไทยเอาใจสายผัก รสชาติเปรี้ยวนำหวานตาม แซมรสเผ็ดเล็กน้อย หรือเผ็ดมากแล้วแต่ชอบ มีความหอมกะปิ สำหรับสูตรนี้ใส่ไช้เท้าเพื่อให้น้ำซุปมีความหวานแบบธรรมชาติ หลายคนที่ชอบรับประทานแกงส้มวันนี้เราได้นำสูตรแกงส้มกุ้งผักกระเฉด ที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบกินผักเพราะสามารถเลือกผักที่เราชอบมาเป็นวัตถุดิบในการทำแกงส้มได้ และยังมีกุ้งอีกด้วย มีวิธีทำไม่กี่ขั้นตอนก็อร่อยได้แล้ว

วัตถุดิบเครื่องปรุง

  • กุ้งสด ตัดหนวด แกะเปลือก ผ่าหลังดึงเส้นดำ ล้างให้สะอาด พักไว้
  • ผักกระเฉด นำมาหลาวซังทิ้ง ล้างให้สะอาด เลือกเด็ดตรงยอดและก้านอ่อนๆ เตรียมไว้
  • หัวไชเท้า ปอกเปลือก ผ่าครึ่ง หั่นเป็นชิ้นไว้
  • น้ำมะขามเปียกคั้น
  • น้ำปลาดี, ชูรส
  • น้ำตาลมะพร้าว
  • พริกแกงส้ม นำพริกชี้ฟ้าแห้ง 5 เม็ด แช่น้ำให้นิ่ม พริกสดแดง 20 เม็ด หัวหอมแดง 5 หัว ข่าแก่ 2 แว่น
    กะปิ 1 ช้อนแกงพูนๆ โขลกทั้งหมดให้เข้ากันจนละเอียด จะได้เป็นพริกแกงส้ม สำหรับไว้ปรุงค่ะ

วิธีทำ

  • ตั้งหม้อใส่น้ำสะอาด เปิดไฟกลางๆ ใส่พริกแกงส้มที่โขลกผสมไว้ลงละลายในหม้อ เคี่ยวน้ำแกงให้มีกลิ่นหอมรอน้ำเดือด ใส่หัวไชเท้าลงไปอันดับแรก จากนั้นปรุงรสชาติด้วย น้ำปลาดี น้ำตาลมะพร้าว ชูรส น้ำมะขามเปียก ชิมดูให้ได้รสชาติที่กลมกล่อม
  • เมื่อหัวไชเท้าเริ่มสุกและใส ใส่กุ้งสดลงไป เมื่อเนื้อกุ้งสุกและมีสีแดง จึงใส่ผักระเฉดลงตาม กดให้ผักจมน้ำแกง คนผสมอีกสักเล็กน้อย เมื่อผักสลดน้ำแกงดีแล้ว จึงปิดไฟ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสริ์ฟจ้า เจียวไข่เพิ่มสักจาน ทานคู่กัน อร่อยแท้แน่นอนจ้า

เครดิตสูตรและภาพโดย : GuayteawLoveCooking




บทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง