วิธีลดการใช้พลาสติกในชีวิตประจำวัน ทำง่ายๆ แต่ช่วยโลกได้เยอะ!

วิธีลดการใช้พลาสติกในชีวิตประจำวัน ทำง่ายๆ แต่ช่วยโลกได้เยอะ!

วิธีลดการใช้พลาสติกในชีวิตประจำวัน

เคยสังเกตไหมว่า พลาสติกอยู่รอบตัวเราเต็มไปหมด ตั้งแต่แก้วกาแฟ หลอดพลาสติก ไปจนถึงถุงหิ้วจากร้านสะดวกซื้อ ถึงจะใช้แค่แป๊บเดียว แต่พลาสติกพวกนี้ใช้เวลาย่อยสลายนานหลายร้อยปี ถ้าเราอยากช่วยโลก ลดขยะ และใช้ชีวิตแบบรักษ์สิ่งแวดล้อม ก็ถึงเวลาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกันแล้ว! มาดูวิธีลดการใช้พลาสติกแบบง่ายๆ ที่ทำได้ทุกวันกันเลย

1. พกถุงผ้าแทนถุงพลาสติก

จะไปซื้อของที่ตลาดหรือซูเปอร์มาร์เก็ต แค่พกถุงผ้าไปเอง ก็ช่วยลดถุงพลาสติกได้เยอะ! ถุงผ้าทนทาน ใช้ซ้ำได้ แถมบางร้านยังมีส่วนลดให้ลูกค้าที่ไม่รับถุงพลาสติกด้วยนะ!

2. ใช้แก้วน้ำ-กระบอกน้ำแทนแก้วพลาสติก

พกแก้วน้ำหรือกระบอกน้ำติดตัว เวลาไปซื้อกาแฟหรือเครื่องดื่ม ร้านส่วนใหญ่ยินดีให้คุณใช้แก้วตัวเอง แถมบางร้านยังลดราคาด้วย! ได้ช่วยโลกแถมประหยัดเงินอีกต่างหาก!

3. เลิกใช้หลอดพลาสติก เปลี่ยนมาใช้หลอดรักษ์โลก

ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องใช้หลอดเลย! หรือถ้าจำเป็นต้องใช้จริงๆ ลองเปลี่ยนมาใช้หลอดสแตนเลส หลอดซิลิโคน หรือหลอดไม้ไผ่ที่ใช้ซ้ำได้ ช่วยลดขยะไปได้อีกเยอะ

4. ห่ออาหารด้วยผ้าแว็กซ์แทนแรปพลาสติก

ใครที่ชอบห่ออาหารหรือเก็บของสดในตู้เย็น ลองใช้ผ้าแว็กซ์ (Beeswax Wrap) แทนพลาสติกแรปดู เป็นทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แถมใช้ซ้ำได้หลายครั้ง!

5. ซื้อของแบบรีฟิล ลดขวดพลาสติกไปอีกขั้น

ตอนซื้อของใช้ในบ้าน เช่น น้ำยาล้างจาน แชมพู หรือสบู่ ลองเลือกซื้อแบบรีฟิล (Refill) หรือซื้อจากร้านที่ให้เติมของใส่ภาชนะของเราเอง เพื่อลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก

6. ใช้ภาชนะซ้ำแทนการใช้แล้วทิ้ง

ลองสังเกตดูว่าที่บ้านใช้จาน ชาม หรือช้อนส้อมพลาสติกบ่อยแค่ไหน? เปลี่ยนมาใช้แบบที่ล้างแล้วใช้ซ้ำได้ เช่น สแตนเลส เซรามิก หรือไม้ไผ่ ช่วยลดขยะไปได้อีกเยอะ!

7. ปฏิเสธพลาสติกที่ไม่จำเป็น

บางครั้งเรารับพลาสติกมาโดยไม่รู้ตัว เช่น ช้อนส้อมพลาสติกจากร้านอาหาร ถุงหิ้วเล็กๆ หรือพลาสติกห่อของที่ไม่จำเป็น ลองปฏิเสธแบบสุภาพ และแจ้งร้านค้าว่าไม่ต้องใส่มาให้

การลดใช้พลาสติกไม่ใช่เรื่องยาก! แค่เริ่มจากการเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ก็ช่วยลดขยะและรักษาสิ่งแวดล้อมได้แล้ว  มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงง่ายๆ แต่ส่งผลดีต่อโลกกันเถอะ! 


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ไขข้อสงสัย! ด้านหลังโฉนดที่ดิน บอกข้อมูลอะไรบ้าง?

ไขข้อสงสัย! ด้านหลังโฉนดที่ดิน บอกข้อมูลอะไรบ้าง?

ด้านหลังโฉนดที่ดิน

หลายคนอาจเคยเห็นหรือถือครองโฉนดที่ดิน แต่เคยสังเกตกันไหมว่าด้านหลังของเอกสารสำคัญนี้มีข้อมูลอะไรบ้าง? ไม่ใช่แค่หน้าที่ระบุรายละเอียดที่ดินเท่านั้น แต่ด้านหลังยังซ่อนข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ ข้อจำกัดการใช้ประโยชน์ การจำนอง หรือแม้แต่ภาระผูกพันอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อมูลค่าของที่ดินของคุณ

บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่าแต่ละส่วนของด้านหลังโฉนดที่ดินมีความหมายว่าอย่างไร และทำไมคุณควรให้ความสำคัญกับมันก่อนทำธุรกรรมเกี่ยวกับที่ดิน ไม่ว่าคุณจะกำลังซื้อ-ขาย รับมรดก หรือวางแผนใช้ประโยชน์จากที่ดินของคุณเอง!

สารบัญการจดทะเบียน

ด้านหลังของโฉนดที่ดินจะเป็นส่วนของสารบัญการจดทะเบียน ซึ่งการทำนิติกรรมใดๆกับอสังหาริมทรัพย์นั้นกฎหมายระบุให้ต้องทำการจดทะเบียน ณ สำนักงานที่ดิน หากไม่ทำการจดทะเบียนจะถือว่านิติกรรมนั้นๆเป็นโมฆะ ไม่สามารถบังคับแก่กันได้ เมื่อคุณทำการจดทะเบียนนิติกรรมใดๆกับเจ้าพนักงานที่ดิน ไม่ว่าจะเป็นซื้อขาย ให้ โอนมรดก จำนอง ขายฝาก จดภาระจำยอมฯ เจ้าหน้าที่จะของโฉนดที่ดินของคุณไปทำการสลักหลังนิติกรรมที่ได้จดทะเบียนในวันนั้นๆ ดังนั้นหากคุณต้องการทราบว่าที่ดินแปลงนี้เคยถูกจดทะเบียนนิติกรรมอะไรมาบ้างแล้วก็สามารถอ่านดูจากหลังโฉนดได้เลย

  • จดทะเบียน วัน เดือน ปี เป็นส่วนที่ระบุวัน เดือน ปี ที่ทำการจดทะเบียนนิติกรรมนั้นๆ ซึ่งตามตัวอย่างคือ วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2550
  • ประเภทการจดทะเบียน เป็นส่วนที่ระบุประเภทนิติกรรมที่ได้จดทะเบียนขึ้นในวันนั้นๆ ซึ่งตามตัวอย่างคือ นิติกรรมการให้ที่ดิน
  • ผู้ให้สัญญา เป็นส่วนที่ระบุชื่อ-สกุลผู้ให้สัญญา ซึ่งตามตัวอย่างคือชื่อผู้ให้ที่ดิน
  • ผู้รับสัญญา เป็นส่วนที่ระบุชื่อ-สกุลผู้รับสัญญา ซึ่งตามตัวอย่างคือชื่อผู้รับที่ดิน
  • เนื้อที่ดินตามสัญญา เป็นส่วนที่ระบุเนื้อที่ดินซึ่งที่นิติกรรมในวันนั้น ซึ่งตามตัวอย่างเป็นการให้ที่ดินทั้งแปลงจึงระบุเนื้อที่ดินทั้งหมด
  • เนื้อที่ดินคงเหลือ เป็นส่วนที่ระบุเนื้อที่ดินซึ่งคงเหลือหลังจากทำนิติกรรมในวันนั้นๆ เช่นหากนิติกรรมที่เกิดขึ้นเป็นการแบ่งแยกแปลงที่ดินออกเป็นสองแปลง จะระบุเนื้อที่ดินที่ถูกแบ่งแยกออกไปในช่องเนื้อที่ดินตามสัญญา และจะระบุเนื้อที่ดินคลเหลือหลังจากแบ่งแยกแปลงที่ดินออกไปในช่องเนื้อที่ดินคงเหลือ
  • ระวางเลขที่โฉนดที่ดินใหม่ ในกรณีที่มีการแบ่งแยกที่ดินออกเป็นแปลงใหม่เจ้าหน้าที่จะทำการระบุเลขระวางโฉนดที่ดินของที่ดินแปลงใหม่ เพื่อใช้อ้างอิงในการสืบค้นว่าที่ดินที่ถูกแบ่งแยกออกไปเป็นโฉนดที่ดินเลขที่เท่าใด
  • เจ้าพนักงานที่ดิน ลงลายมือชื่อ ประทับตรา เป็นส่วนที่ใช้ในการยืนยันว่าการจดทะเบียนนิติกรรมนั้นๆได้ทำการจดทะเบียน ณ สำนักงานที่ดิน อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยยืนยันจากลายมือชื่อของเจ้าพนักงานที่ดิน และตราประทับของสำนักงานที่ดินนั้นเอง

การอ่านโฉนดที่ดินให้เป็นนั้นสำคัญกว่าที่คุณคิด! ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของที่ดิน กำลังมองหาที่ดินเพื่อลงทุน หรือต้องการทำธุรกรรมทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน การเข้าใจข้อมูลในโฉนดอย่างละเอียดจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด ป้องกันการถูกหลอก และเตรียมเอกสารได้ถูกต้อง


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ปุ๋ยจุลินทรีย์ VS ปุ๋ยเคมี อันไหนดีกว่ากัน?

ปุ๋ยจุลินทรีย์ VS ปุ๋ยเคมี อันไหนดีกว่ากัน?

ปุ๋ยจุลินทรีย์ VS ปุ๋ยเคมี อันไหนดีกว่ากัน

เมื่อพูดถึงการบำรุงพืชให้เจริญเติบโตเร็ว แข็งแรง และให้ผลผลิตดี คงหนีไม่พ้นเรื่องของปุ๋ย ซึ่งมีให้เลือกมากมาย แต่ที่นิยมกันมากก็คือ ปุ๋ยเคมี และ ปุ๋ยจุลินทรีย์ หลายคนอาจสงสัยว่าปุ๋ยแบบไหนดีกว่ากัน? ใช้แบบไหนแล้วให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด? บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกข้อดี-ข้อเสียของทั้งสองแบบ เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกใช้ปุ๋ยที่เหมาะกับพืชและแนวทางการเกษตรของคุณมากที่สุด!

ปุ๋ยเคมีคืออะไร?

ปุ๋ยเคมีเป็นปุ๋ยที่ผลิตขึ้นจากสารเคมีสังเคราะห์ มีธาตุอาหารพืชในรูปแบบที่พืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที เช่น ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) และโพแทสเซียม (K) ปุ๋ยเคมีมีหลายสูตร เช่น 16-16-16, 46-0-0 เป็นต้น ซึ่งช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืชได้อย่างรวดเร็ว

ข้อดีของปุ๋ยเคมี

  • พืชดูดซึมธาตุอาหารได้เร็ว ให้ผลผลิตไว
  • สูตรปุ๋ยหลากหลาย สามารถเลือกใช้ให้เหมาะกับพืชแต่ละชนิด
  • ใช้งานสะดวก ควบคุมปริมาณธาตุอาหารได้ง่าย

ข้อเสียของปุ๋ยเคมี

  • การใช้ต่อเนื่องอาจทำให้ดินเสื่อมสภาพ แข็งกระด้าง และสูญเสียจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์
  • อาจทำให้เกิดสารตกค้างในดินและแหล่งน้ำ
  • มีต้นทุนสูง หากใช้มากเกินไปอาจกระทบต้นทุนการผลิต

ปุ๋ยจุลินทรีย์คืออะไร?

ปุ๋ยจุลินทรีย์เป็นปุ๋ยที่เกิดจากสิ่งมีชีวิต เช่น แบคทีเรีย เชื้อรา และจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ ซึ่งช่วยย่อยสลายสารอินทรีย์ในดินให้กลายเป็นธาตุอาหารที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ง่าย โดยปุ๋ยจุลินทรีย์มีทั้งแบบน้ำและแบบเม็ด เช่น EM (Effective Microorganisms) หรือปุ๋ยหมักชีวภาพ

ข้อดีของปุ๋ยจุลินทรีย์

  • ช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน ทำให้ดินร่วนซุยและอุดมสมบูรณ์
  • ส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชแบบยั่งยืน
  • ลดการใช้สารเคมี เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ต้นทุนต่ำ สามารถทำเองได้จากวัสดุธรรมชาติ

ข้อเสียของปุ๋ยจุลินทรีย์

  • ออกฤทธิ์ช้ากว่าปุ๋ยเคมี ต้องใช้เวลาให้จุลินทรีย์ทำงาน
  • ต้องมีความรู้ในการใช้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
  • การเก็บรักษาต้องระวัง ไม่ให้จุลินทรีย์ตาย

แล้วควรเลือกใช้แบบไหน?

หากต้องการให้พืชโตเร็วและให้ผลผลิตไว ปุ๋ยเคมี อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แต่หากต้องการฟื้นฟูดินและทำเกษตรแบบยั่งยืน ปุ๋ยจุลินทรีย์ อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า อย่างไรก็ตาม วิธีที่ดีที่สุดคือ การใช้ปุ๋ยทั้งสองร่วมกัน โดยลดปุ๋ยเคมีลง และเพิ่มปุ๋ยจุลินทรีย์เพื่อปรับปรุงดินและช่วยให้พืชเติบโตได้อย่างสมดุล

ทั้งปุ๋ยเคมีและปุ๋ยจุลินทรีย์ต่างมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ทางเลือกที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับความต้องการของเกษตรกรและสภาพแวดล้อมของพื้นที่เพาะปลูก หากต้องการผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว ควรหาสมดุลระหว่างการใช้ปุ๋ยทั้งสองแบบเพื่อให้เกิดผลผลิตที่ดีและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินไปพร้อมกัน!


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

จ่ายเงินประกันสังคมทุกเดือน คุณจะได้รับบริการทางการแพทย์อะไรบ้าง?

จ่ายเงินประกันสังคมทุกเดือน คุณจะได้รับบริการทางการแพทย์อะไรบ้าง?

จ่ายเงินประกันสังคมทุกเดือน คุณจะได้รับบริการทางการแพทย์อะไรบ้าง?

ทำไมต้องจ่ายเงินประกันสังคม? สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน หลายคนอาจมองว่าการถูกหักเงินสมทบประกันสังคมทุกเดือนเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น และอยากนำเงินไปใช้ในด้านอื่นมากกว่า แต่รู้หรือไม่ว่า การจ่ายเงินเข้ากองทุนประกันสังคมนี้ช่วยให้คุณได้รับสิทธิประโยชน์ทางการแพทย์ที่ครอบคลุมและช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายเมื่อเกิดการเจ็บป่วย ทั้งในกรณีผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ซึ่งหลายคนอาจยังไม่ทราบรายละเอียดของสิทธิที่ตนเองพึงได้รับ วันนี้เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจสิทธิการรักษาพยาบาลที่ผู้ประกันตนได้รับจากกองทุนประกันสังคมกัน


สิทธิการรักษาพยาบาลของผู้ประกันตน

เมื่อเจ็บป่วย ผู้ประกันตนสามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตามที่เลือกไว้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย หรือหากต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอื่นที่ไม่ได้อยู่ในเครือข่าย สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลคืนได้ตามอัตราที่กำหนดดังนี้:

1. การเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลที่เลือกไว้

  • สามารถเข้ารับการรักษาได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายตามเงื่อนไขของประกันสังคม
  • ครอบคลุมทั้งกรณีเจ็บป่วยทั่วไป อุบัติเหตุ และภาวะฉุกเฉิน
  • ไม่จำกัดจำนวนครั้งสำหรับผู้ป่วยนอก
  • กรณีเป็นผู้ป่วยในสามารถเบิกค่ารักษาได้ตามจริง ยกเว้นค่าห้องและค่าอาหาร

2. การเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลอื่น

หากผู้ประกันตนเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ไม่ได้อยู่ในเครือข่าย สามารถเบิกค่ารักษาได้ตามอัตราดังนี้:

โรงพยาบาลรัฐ

  • ผู้ป่วยนอก: เบิกค่ารักษาได้ตามที่จ่ายจริง
  • ผู้ป่วยใน: เบิกค่ารักษาได้ตามที่จ่ายจริง ยกเว้นค่าห้องและค่าอาหาร ซึ่งเบิกได้ไม่เกินวันละ 700 บาท

โรงพยาบาลเอกชน

  • ผู้ป่วยนอก: เบิกค่ารักษาได้ไม่เกิน 1,000 บาทต่อครั้ง
  • ผู้ป่วยใน: เบิกค่ารักษาได้สูงสุดวันละ 2,000 บาท (ไม่รวมค่าห้อง)
  • ค่าห้องและค่าอาหาร: ไม่เกินวันละ 700 บาท
  • ค่าห้อง ICU: เบิกได้ไม่เกินวันละ 4,500 บาท
  • ค่าผ่าตัดใหญ่: เบิกได้ระหว่าง 8,000 – 16,000 บาทต่อครั้ง (ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการผ่าตัด)

3. การรักษาทางทันตกรรม

ผู้ประกันตนสามารถเข้ารับบริการทางทันตกรรม ณ คลินิกหรือโรงพยาบาลที่มีข้อตกลงกับสำนักงานประกันสังคม โดยเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ดังนี้:

  • ถอนฟัน อุดฟัน ขูดหินปูน และผ่าฟันคุด: เบิกค่ารักษาได้ตามจริง ไม่เกิน 900 บาทต่อปี
  • ใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้: เบิกค่ารักษาได้สูงสุด 1,500 บาท ภายในระยะเวลา 5 ปี

14 โรคที่ประกันสังคมไม่คุ้มครอง

แม้ประกันสังคมจะให้ความคุ้มครองในหลายกรณี แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นสำหรับโรคหรือภาวะบางประเภทที่ไม่ได้อยู่ในความคุ้มครอง ได้แก่:

  1. โรคหรืออุบัติเหตุที่เกิดจากการใช้สารเสพติด
  2. โรคที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเกิน 180 วันต่อปี
  3. การบำบัดทดแทนไต (ยกเว้นกรณีไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย)
  4. การทำศัลยกรรมเพื่อความสวยงาม (ยกเว้นกรณีมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์)
  5. การรักษาที่ยังอยู่ในระหว่างการทดลอง
  6. การรักษาภาวะมีบุตรยาก
  7. การตรวจเนื้อเยื่อเพื่อการผ่าตัดอวัยวะ (ยกเว้นการปลูกถ่ายไขกระดูก)
  8. การตรวจที่เกินกว่าความจำเป็นในการรักษา
  9. การผ่าตัดอวัยวะ ยกเว้น:
    • การปลูกถ่ายไขกระดูก (เบิกได้สูงสุด 750,000 บาท)
    • การผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะกระจกตา (เบิกค่าผ่าตัด 20,000 บาท และค่าศูนย์ดวงตาสภากาชาดไทย 5,000 บาท)
  10. การผ่าตัดแปลงเพศ
  11. การผสมเทียม
  12. การบริการระหว่างการพักฟื้น
  13. การรักษาทางทันตกรรมที่ไม่ครอบคลุมในรายการที่ระบุข้างต้น
  14. ค่าซื้อแว่นตา

เงื่อนไขการใช้สิทธิประกันสังคม

  • ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายในระยะเวลา 15 เดือนก่อนใช้สิทธิ
  • สิทธิการรักษาพยาบาลขึ้นอยู่กับสถานพยาบาลที่เลือกในระบบประกันสังคม
  • การเบิกค่ารักษาพยาบาลต้องดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนด

การจ่ายเงินประกันสังคมทุกเดือนไม่ใช่เพียงแค่ภาระหน้าที่ แต่เป็นการลงทุนเพื่อความมั่นคงทางสุขภาพของตนเอง การรู้จักใช้สิทธิที่มีอย่างคุ้มค่า จะช่วยให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุดจากระบบประกันสังคม ดังนั้น หากคุณเป็นผู้ประกันตน อย่าลืมศึกษาเงื่อนไขและสิทธิของตนเองให้ดี เพื่อให้มั่นใจว่า คุณจะได้รับการรักษาพยาบาลที่เหมาะสมและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

หลังเกษียณ ได้เงินประกันสังคมเท่าไหร่? เช็กเลย!

หลังเกษียณ ได้เงินประกันสังคมเท่าไหร่? เช็กเลย!

หลังเกษียณ ได้เงินประกันสังคมเท่าไหร่?

หลังเกษียณ ได้เงินประกันสังคมเท่าไหร่?

เมื่อถึงวัยเกษียณ รายได้จากการทำงานอาจหมดไป แต่โชคดีที่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมยังมีสิทธิ์รับเงินบำนาญชราภาพ ซึ่งเป็นเงินที่สะสมจากการจ่ายสมทบมาตลอดช่วงทำงาน หลายคนอาจสงสัยว่า “เราจะได้เงินเท่าไหร่?” หรือ “จะพอใช้จ่ายหลังเกษียณไหม?” บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับเงินบำนาญจากประกันสังคม รวมถึงวิธีคำนวณ เพื่อให้คุณสามารถวางแผนอนาคตได้อย่างมั่นใจ

พวกท่านรู้ไหมว่า หลังปลดเกษียณ เงินที่คุณจะได้รับคืนจากประกันสังคมมีจำนวนเงินเท่าไหร่

โดยทั่วไปแล้ว เราจะชำระเงินให้ประกันสังคมอยู่ที่ 5% ของค่าจ้างรายเดือนทุกเดือน ซึ่งค่าจ้างรายเดือนสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท มีความหมายว่า คุณมีเงินเดือน 20,000 บาท คุณจะชำระเงินให้ประสังคม 15,000 x 5% = 750 บาท

แต่ว่าช้าก่อน 5% ไม่ใช่เป็นเงินเพื่อการเกษียณทั้งสิ้น เงินเพื่อเกษียณอายุจะมีแค่ 3% แค่นั้น หรือ 450 บาท โดยหากรวมกับนายว่าจ้างสมทบแล้วก็รัฐบาลกันงบไว้ จะเป็น 7% หรือ 1,050 บาท ถ้าเกิดค่าตอบแทนรายเดือนคุณเกิน 15,000 บาท

การคำนวณเงินชราภาพของผู้ประกันตนมีดังนี้

1) ชำระเงินสมทบเกิน 180 เดือน จะได้เงินบำนาญชราภาพ

คำนวณโดยใช้สูตร 20% + ((ปริมาณเดือนสมทบ-180)/12*1.5%) คูณกับค่าเฉลี่ยค่าตอบแทนรายเดือน 60 เดือนสุดท้ายก่อนปลดเกษียณ

ผู้ประกันตนอายุ 30 ปี ค่าตอบแทนรายเดือน 20,000 บาท ชำระเงินสมทบทั้งหมดทั้งปวงก่อนปลดเกษียณ 300 เดือน คาดว่าจะมีเงินเดือนที่แล้วปลดเกษียณเฉลี่ย 60 เดือนย้อนหลังอยู่ที่ 70,000 บาท แต่ว่าก็จะโดนจำกัดที่ 15,000 บาทเหมือนเดิม

โดยเหตุนี้ค่าเฉลี่ยเงินเดือน 60 เดือน จะเท่ากับ 15,000 บาท

ฉะนั้นเงินปลดเกษียณเป็นเบี้ยบำนาญจะได้พอๆกับ เดือนละ 15,000 x (20%+((300-180)/12)*1.5% = 5,250 บาทต่อเดือน

2) จ่ายเงินสมทบไม่เกิน 180 เดือน และไม่เกิน 12 เดือน

จะได้เป็นรางวัลเท่าจำนวนที่ตนเองจ่ายเพียงแค่นั้น เป็นต้นว่า ชำระเงินสมทบของตนเอง 450 บาทต่อเดือน ตรงเวลา 11 เดือน ก็จะได้เงินปริมาณ 450x 11 = 4,590 บาท

3) ชำระเงินสมทบไม่เกิน 180 เดือน รวมทั้งเกิน 12 เดือน

จะได้ เงินสมทบตัวเอง เจ้านาย รวมทั้งรัฐบาล + ผลประโยชน์หมายความว่าผลกำไรจากที่ประกันสังคมเอาเงินไปลงทุน ซึ่งบางทีก็อาจจะอยู่ราว 3-6% โดยที่ในปี 2557 อยู่ที่ 3.66%

มองเห็นจำนวนแบบงี้แล้ว คุณยังจะรอคอยเงินปลดเกษียณจากประกันสังคมอยู่หรือเปล่า?

ลองนึกดู อีก 10 ปี อีก 20 ปี สิ่งของเครื่องใช้จะแพงขึ้นเพราะเหตุว่าเงินเฟ้อ แล้วเบี้ยบำนาญ 5,000 บาทต่อเดือน คุณอยู่ได้ไหม?

ขอทำความเข้าใจก่อนว่า ประกันสังคม ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเสาหลักของระบบออมเพื่อปลดเกษียณ โดยจะเป็นการออมภาคบังคับ เน้นย้ำสร้างหลักประกันรวมทั้งความมั่นคงและยั่งยืน มีรายได้หลังปลดเกษียณไม่ให้ตกสู่ความยากไร้

ประกันสังคมมิได้เน้นความร่ำรวย ฉะนั้นถ้าหากคุณรู้สึกว่าหลังปลดเกษียณจะใช้เงินประกันสังคม ให้คุณคิดใหม่ครับ อย่าคอยเงินเกษียณอายุจากประกันสังคม! ให้คุณเริ่มคิดเงินเกษียณอายุด้วยวิธีอื่นเพิ่ม ซึ่งมีอยู่หลายทาง เช่น RMF รับรองบำนาญ หรือ ซึ้อกองทุนต่างๆ

สิ่งที่คุณควรทำเป็น “ต้องกำหนดแผนการเงินเพื่อการเกษียณอายุไว้เป็นเป้าหมายหลักของชีวิตคุณ” และจงเปลี่ยนแปลงทัศคติของคุณใหม่ “ จาก เกษียณอายุเริ่มเวลาใดก็ได้ เป็น เกษียณจำต้องเริ่มในช่วงเวลานี้”

ที่มา : สำนักงานประกันสังคม


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เที่ยว! หาดเตยงาม สัตหีบ ทะเลสวย น้ำใสใกล้กรุงเทพ

เที่ยว! หาดเตยงาม สัตหีบ ทะเลสวย น้ำใสใกล้กรุงเทพ

หาดเตยงาม

หากคุณกำลังมองหาชายหาดสวย น้ำใส ทรายขาว และเงียบสงบ หาดเตยงาม คือจุดหมายปลายทางที่คุณไม่ควรพลาด! ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน กองทัพเรือไทย อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ทำให้ชายหาดแห่งนี้มีความเป็นระเบียบ สะอาด และปลอดภัย อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เดินทางเพียง 2-3 ชั่วโมง ก็สามารถสัมผัสทะเลสวยๆ ได้แบบสบายๆ

ที่นี่ไม่เพียงแค่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่งดงาม แต่ยังมีกิจกรรมมากมายให้ทำ ไม่ว่าจะเป็น การเล่นน้ำ พายเรือคายัค ดำน้ำชมปะการัง หรือแม้แต่เดินเล่นชิลๆ พร้อมชมพระอาทิตย์ตกที่แสนโรแมนติก นอกจากนี้ยังมี อนุสรณ์สถานกรมหลวงชุมพรฯ ให้คุณได้เรียนรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์อีกด้วย

มาดูกันว่า หาดเตยงาม มีอะไรน่าสนใจ และคุณจะวางแผนเที่ยวที่นี่ได้อย่างไรบ้าง!

หาดเตยงาม

หาดเตยงาม

น้ำทะเลใสสะอาด มองเห็นพื้นทรายและแนวปะการัง ชายหาดเงียบสงบ ไม่วุ่นวายเหมือนหาดท่องเที่ยวทั่วไป และมีความปลอดภัยสูง เพราะมีกองทัพเรือดูแล

หาดเตยงาม

หาดเตยงาม

หาดเตยงามเป็นหนึ่งในชายหาดที่สวยที่สุดของสัตหีบ มีน้ำทะเลใส ชายหาดสะอาด และกิจกรรมมากมาย เหมาะสำหรับทั้งการพักผ่อนแบบเงียบสงบ และการทำกิจกรรมสนุกๆ หากคุณกำลังมองหาทะเลสวยใกล้กรุงเทพฯ ที่ไม่ต้องเดินทางไกล หาดเตยงามคือคำตอบ!

ข้อมูลเพิ่มเติม

ที่อยู่: หาดเตยงาม อ่าวนาวิกโยธิน สัตหีบ ชลบุรี
การเดินทาง: รถยนต์ส่วนตัว (มีจุดแลกบัตรก่อนเข้าไป)
สิ่งอำนวยความสะดวก: ที่จอดรถ ร้านอาหาร ห้องน้ำ คาเฟ่
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/rxj771xR4A4gCvgFA
ขอบคุณภาพสวยๆ จาก
ไปด้วยกัน paiduaykan.com


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

อาหารเป็ดไข่ลดต้นทุน ทางเลือกเพื่อเกษตรกร

อาหารเป็ดไข่ลดต้นทุน ทางเลือกเพื่อเกษตรกร

อาหารเป็ดไข่ลดต้นทุน

การเลี้ยงเป็ดไข่เป็นอาชีพที่มีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะค่าหัวอาหารที่เป็นต้นทุนหลัก ทำให้เกษตรกรหลายคนประสบปัญหาด้านการเงิน บางรายถึงกับต้องเลิกเลี้ยงเป็ดเพราะรับภาระค่าอาหารไม่ไหว ดังนั้น การหาแนวทางลดต้นทุนอาหารเป็ดไข่จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการช่วยให้เกษตรกรลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มกำไร ในบทความนี้เราเลยจะมาแนะนำ อาหารเป็ดไข่ลดต้นทุน เพื่อให้ประหยัดต้นทุนกันครับ

หลักการลดต้นทุนอาหารเป็ดไข่

เมื่อนำเป็ดสาวมาเลี้ยง ควรให้อาหารสำเร็จรูปเต็มที่ก่อน เพราะเป็ดสาวต้องได้รับสารอาหารครบถ้วนเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและออกไข่สม่ำเสมอ โดยปกติแล้ว เป็ดสาวจะกินอาหารประมาณ 120-150 กรัมต่อตัวต่อวัน เมื่อเป็ดเริ่มออกไข่ที่อัตรา 60% ขึ้นไป จึงสามารถเริ่มเสริมอาหารลดต้นทุนแทนที่หัวอาหารบางส่วนได้ เพื่อให้ยังคงมีผลผลิตไข่ที่ต่อเนื่องและลดค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหารสำเร็จรูป

วัตถุดิบอาหารลดต้นทุนสำหรับเป็ดไข่

  • แหนแดง   แหล่งโปรตีนจากธรรมชาติ
  • รำละเอียด   ให้พลังงานและเสริมไฟเบอร์
  • ต้นกล้วยสับ   มีน้ำและไฟเบอร์สูง ช่วยเรื่องการย่อยอาหาร
  • ผักบุ้งสับ  อุดมไปด้วยวิตามิน
  • ไส้เดือนหรือหอยเชอรี่   โปรตีนเสริม (เลือกใช้ตามความสะดวก)
  • หญ้าสด  ให้สารอาหารจากธรรมชาติ
  • กากข้าวโพด   แหล่งพลังงานราคาประหยัด
  • มันหมักยีสต์   ช่วยเพิ่มคุณค่าทางอาหาร
  • พืชผักอื่นๆ ที่หาได้ประจำวัน

วิธีให้อาหารลดต้นทุน

  • ควรให้วัตถุดิบชนิดเดิมอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เช่น ถ้าให้ต้นกล้วยสับก็ควรให้ต้นกล้วยสับทุกวัน ไม่ควรเว้น เพราะอาจส่งผลต่อการออกไข่
  • เสริมวิตามินรวมเพื่อป้องกันภาวะขาดวิตามิน และช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้น
  • ควรแบ่งรอบการให้อาหาร เช่น
    • เช้าและเย็น – ให้หัวอาหารสำเร็จรูป
    • เที่ยง – ให้เป็นอาหารลดต้นทุน

การจัดตารางอาหารแบบนี้จะช่วยให้เป็ดได้รับสารอาหารครบถ้วน และยังสามารถออกไข่ได้ดีเหมือนเดิม

สูตรอาหารเป็ดไข่จากหยวกกล้วย

วัสดุและอุปกรณ์

  • หยวกกล้วยสับละเอียด 100 กก.
  • กากน้ำตาลหรือน้ำตาลทรายแดง 3 กก.
  • เกลือ 1 กก.

วิธีทำ

  1. นำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน
  2. หมักไว้ 5-7 วัน
  3. เมื่อนำมาใช้ ให้ผสมกับ:
    • รำละเอียด 10%
    • ปลายข้าว 5%
    • น้ำหมัก 3-5 ช้อนโต๊ะ
  4. สามารถนำไปเลี้ยงเป็ดและไก่ได้ ช่วยให้สัตว์แข็งแรง ลดกลิ่นมูล และเพิ่มอัตราการออกไข่

หากต้องการบำรุงเป็ดให้ไข่ดกและฟองโต สามารถเพิ่ม:

  • ต้นกล้วยหมัก 1 กก.
  • หัวอาหารสำเร็จรูป 5 กก.
  • รำละเอียด 5 กก.
  • น้ำหมักผลไม้สุกหรือน้ำหมัก EM 3 ช้อนแกง

หมักส่วนผสมทั้งหมดไว้ 1 คืนก่อนนำไปให้เป็ดกิน ซึ่งจะช่วยให้เป็ดออกไข่ได้มากขึ้น และลดต้นทุนค่าอาหารได้อย่างดี

การนำสูตรอาหารลดต้นทุนมาใช้ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยังคงให้ผลผลิตไข่ที่มีคุณภาพดี และช่วยให้การเลี้ยงเป็ดไข่มีความยั่งยืนมากขึ้น

แหล่งที่มา: ฟาร์มไก่ไข่พัชรี มุกดาหาร | https://www.sarakaset.com/สูตรอาหารเป็ดไข่ลดต้นทุน


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์ คืออะไร? ทำไมคนรักสุขภาพต้องลอง!

กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์ คืออะไร? ทำไมคนรักสุขภาพต้องลอง!

กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์

รู้จักกับ กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์

กระเจี๊ยบแดง (Roselle) เป็นพืชสมุนไพรที่ได้รับความนิยมมานาน มีดอกสีแดงเข้มที่สามารถนำมาใช้ทำเครื่องดื่ม สมุนไพร และผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ ส่วนกระเจี๊ยบแดงอินทรีย์ คือกระเจี๊ยบแดงที่ปลูกแบบปราศจากสารเคมีและสารสังเคราะห์ใด ๆ ตั้งแต่ขั้นตอนเพาะปลูกไปจนถึงการเก็บเกี่ยว ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าแบบทั่วไป

คุณประโยชน์ของกระเจี๊ยบแดงอินทรีย์ที่ไม่ควรพลาด

  • ช่วยลดความดันโลหิต  กระเจี๊ยบแดงมีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยลดระดับความดันโลหิต เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพหัวใจ
  • ลดไขมันในเลือด   มีงานวิจัยระบุว่าการดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงเป็นประจำสามารถช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) และเพิ่มไขมันดี (HDL) ได้
  • ช่วยระบบขับถ่าย  กระเจี๊ยบแดงมีใยอาหารสูง มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้ขับถ่ายสะดวกขึ้น
  • ต้านอนุมูลอิสระ  บำรุงผิวพรรณ  มีวิตามินซีและสารโพลีฟีนอลที่ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ผิว ทำให้ผิวกระจ่างใสและดูอ่อนเยาว์
  • ขับปัสสาวะ ลดบวม  กระเจี๊ยบแดงช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ลดอาการบวมน้ำ และช่วยบรรเทาอาการอักเสบได้

ทำไมต้องเลือกกระเจี๊ยบแดงอินทรีย์?

  • ปลอดภัยจากสารเคมี   ไม่มีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยสังเคราะห์ ปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
  • มีคุณค่าทางสารอาหารสูงกว่า   การปลูกแบบอินทรีย์ช่วยรักษาคุณค่าของสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระได้มากกว่าการปลูกทั่วไป
  • รักษาสิ่งแวดล้อม  ไม่ทำให้ดินและน้ำปนเปื้อน ลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ

วิธีดื่มกระเจี๊ยบแดงอินทรีย์ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

  • ชงชา  นำดอกกระเจี๊ยบแห้งมาต้มกับน้ำร้อน เติมน้ำผึ้งหรือมะนาวเพื่อเพิ่มรสชาติ
  • น้ำกระเจี๊ยบเย็น  ต้มดอกกระเจี๊ยบกับน้ำ ใส่ใบเตยเพิ่มความหอม ดื่มเย็นสดชื่น
  • สมูทตี้สุขภาพ  ผสมกระเจี๊ยบแดงต้มกับผลไม้ เช่น เบอร์รี่หรือส้ม เพิ่มความอร่อยและคุณค่าสารอาหาร

กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์ไม่ใช่แค่เครื่องดื่มเพื่อความสดชื่น แต่เป็นสมุนไพรที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์ คนรักสุขภาพไม่ควรพลาด! ถ้าอยากดูแลตัวเองแบบปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ ลองเปลี่ยนมาดื่มกระเจี๊ยบแดงอินทรีย์ รับรองว่าได้สุขภาพดีแน่นอน

ความรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับ ขั้นตอนการปลูกกระเจี๊ยบแดงอินทรีย์

1. การเตรียมดิน

สำรับการเพาะปลูกกระเจี๊ยบนั้น ขั้นตอนการเตรียมดินนั้นถือว่ามีความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว ควรเลือกดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง โดยการไถดินให้ร่วนซุย ตากดินไว้ 7-10 วัน เพื่อลดเชื้อโรคและศัตรูพืช แล้วเติมปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยพืชสดเพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้ดิน

2. การเตรียมเมล็ดพันธุ์

เมื่อเราเตรียมดินเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มาถึงขึ้นตอนการเลือกเมล็ดพันธุ์กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์ที่แข็งแรง ไม่มีเชื้อรา เมื่อเราได้เมล็ดแล้วให้เรานำมาแช่ในน้ำอุ่น 24 ชั่วโมง ก่อนปลูก เพื่อกระตุ้นการงอก แล้วนำลงเพราะปลูกในทาดชำ เมล็ดงอกแล้ว คัดเลือกเฉพาะต้นที่แข็งแรง

กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์

3. การเพาะปลูก

ขุดหลุมปลูกลึกประมาณ 2-3 เซนติเมตร ระยะห่างแต่ละต้น 50-80 ซม. แล้วนำหยอดเมล็ดลงหลุม 2-3 เมล็ดต่อหลุม หรือ นำต้นกล้าลงปลูกก็ได้ แล้วกลบด้วยดินบาง ๆ รดน้ำให้ชุ่ม แต่ไม่แฉะจนเกินไป

4. การดูแลรักษา

  • แสงแดด   กระเจี๊ยบแดงต้องการแสงแดดเต็มที่ ควรปลูกในที่โล่ง
  • การรดน้ำ   รดน้ำวันละครั้งในช่วงเช้า อย่าให้น้ำขัง เพราะอาจทำให้รากเน่า
  • การใส่ปุ๋ย   ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ ทุก 2-3 สัปดาห์
  • การป้องกันศัตรูพืช   ใช้วิธีธรรมชาติ เช่น ปลูกพืชไล่แมลง (โหระพา ตะไคร้) หรือฉีดพ่นน้ำสกัดชีวภาพจากสะเดา

5. การเก็บเกี่ยว

กระเจี๊ยบแดงใช้เวลาปลูกประมาณ 4-5 เดือน โดยสังเกตได้จากดอกและกลีบเลี้ยงที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มและเริ่มแข็งตัว การเก็บจะใช้กรรไกรตัดดอกแล้วนำไปตากแห้งหรือนำไปแปรรูปตามต้องการ เพื่อจำหน่ายต่อไป

การปลูกกระเจี๊ยบแดงอินทรีย์ไม่ยาก แค่ใส่ใจตั้งแต่การเตรียมดิน เลือกเมล็ดพันธุ์ ดูแลรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ และเก็บเกี่ยวให้ถูกเวลา ก็จะได้ผลผลิตที่ดี ปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

5 แอปพลิเคชันเช็กฝุ่น PM 2.5 ที่คนไทยต้องมี

5 แอปพลิเคชันเช็กฝุ่น PM 2.5 ที่คนไทยต้องมี

5 แอปพลิเคชันเช็กฝุ่น PM 2.5 ที่คนไทยต้องมี

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 กลายเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตประจำวันของคนไทย โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่ค่าฝุ่นละอองมักพุ่งสูงเกินมาตรฐาน การมีแอปพลิเคชันที่ช่วยตรวจสอบคุณภาพอากาศและค่าฝุ่น PM 2.5 แบบเรียลไทม์จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการวางแผนชีวิตและการดูแลสุขภาพของเรา ในบทความนี้เราจะมาแนะนำ 5 แอปพลิเคชันเช็กฝุ่น PM 2.5 ที่คนไทยต้องมี ติดมือถือไว้ พร้อมรายละเอียดเกี่ยวกับความสามารถของแต่ละแอปพลิเคชัน

1. AirVisual

AirVisual เป็นหนึ่งในแอปพลิเคชันยอดนิยมสำหรับการตรวจสอบคุณภาพอากาศทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วย มีฟีเจอร์เด่นดังนี้:

  • ตรวจสอบค่าฝุ่น PM 2.5 และ AQI (Air Quality Index): ให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์พร้อมการเปรียบเทียบกับมาตรฐานของแต่ละประเทศ
  • พยากรณ์คุณภาพอากาศ: สามารถดูค่าฝุ่นล่วงหน้าได้ถึง 7 วัน
  • แผนที่คุณภาพอากาศ: แสดงจุดตรวจวัดค่าฝุ่น PM 2.5 ในบริเวณใกล้เคียง
  • คำแนะนำด้านสุขภาพ: บอกวิธีป้องกันตัวเองในวันที่ค่าฝุ่นสูง

เหมาะสำหรับ: คนที่ต้องการข้อมูลละเอียด ครอบคลุม และใช้ภาษาอังกฤษได้ดี

2. Air4Thai

Air4Thai เป็นแอปพลิเคชันจากกรมควบคุมมลพิษของประเทศไทย พัฒนาเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ จุดเด่นของแอปนี้คือ:

  • ข้อมูลคุณภาพอากาศจากสถานีวัดทั่วประเทศ: อัปเดตข้อมูลโดยตรงจากกรมควบคุมมลพิษ
  • แสดงค่าฝุ่นละออง PM 2.5 และ PM 10: พร้อมเปรียบเทียบกับมาตรฐานในประเทศไทย
  • การแจ้งเตือน: ระบบแจ้งเตือนเมื่อค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน
  • อินเทอร์เฟซใช้งานง่าย: เหมาะสำหรับผู้ใช้ทุกเพศทุกวัย

เหมาะสำหรับ: คนไทยที่ต้องการข้อมูลที่เชื่อถือได้ในภาษาไทย

3. Plume Labs : Air Report

Plume Labs: Air Report เป็นแอปพลิเคชันที่มีดีไซน์สวยงาม ใช้งานง่าย และมีข้อมูลที่น่าสนใจ:

  • แสดงค่ามลพิษในแต่ละช่วงเวลา: ช่วยให้คุณวางแผนกิจกรรมกลางแจ้งได้อย่างเหมาะสม
  • ระบบพยากรณ์คุณภาพอากาศ: แจ้งข้อมูลล่วงหน้าสำหรับพื้นที่ที่คุณสนใจ
  • คำแนะนำเชิงปฏิบัติ: เช่น ควรออกกำลังกายเวลาไหน หรือควรป้องกันอย่างไร

เหมาะสำหรับ: คนที่ชอบการออกแบบเรียบง่ายแต่ครบถ้วน พร้อมฟีเจอร์การวางแผนล่วงหน้า

4. IQAir

IQAir เป็นแอปพลิเคชันที่เน้นความแม่นยำและข้อมูลแบบเรียลไทม์ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีปัญหามลพิษสูง:

  • แผนที่คุณภาพอากาศแบบอินเทอร์แอคทีฟ: สามารถเลือกดูพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
  • ข้อมูลมลพิษในแต่ละพื้นที่: รวมถึงค่าฝุ่น PM 2.5, PM 10, และก๊าซพิษอื่น ๆ
  • การแจ้งเตือนส่วนตัว: สามารถตั้งค่าให้แจ้งเตือนเมื่อค่าฝุ่นสูงในพื้นที่ที่คุณอยู่

เหมาะสำหรับ: คนที่ต้องการข้อมูลคุณภาพอากาศที่ละเอียดและทันสมัย

5. BreezoMeter

BreezoMeter เป็นอีกหนึ่งแอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยม เน้นข้อมูลที่ใช้งานง่ายและคำแนะนำเชิงสุขภาพ:

  • แสดงค่าคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์: พร้อมการพยากรณ์ล่วงหน้า
  • คำแนะนำเฉพาะบุคคล: แจ้งว่าคุณควรทำอะไรในวันที่ค่าฝุ่นสูง เช่น หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านหรือใส่หน้ากาก
  • รายงานคุณภาพอากาศเป็นภาพกราฟิก: ทำให้ดูเข้าใจง่าย

เหมาะสำหรับ: คนที่ต้องการคำแนะนำเชิงสุขภาพที่เข้าใจง่ายและตรงประเด็น

สรุป

ทั้ง 5 แอปพลิเคชันที่แนะนำนี้มีจุดเด่นและความสามารถที่แตกต่างกันออกไป คุณสามารถเลือกใช้แอปพลิเคชันที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณที่สุด เช่น หากคุณต้องการข้อมูลในภาษาไทย ควรเลือก Air4Thai แต่หากคุณต้องการข้อมูลที่ครอบคลุมทั้งโลก AirVisual หรือ IQAir อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม อย่าลืมว่าการติดตามค่าฝุ่น PM 2.5 เป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้เราสามารถดูแลสุขภาพและวางแผนชีวิตในแต่ละวันได้อย่างปลอดภัย


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

การปลูกผักลอยแพ สนุก สด ใหม่ สไตล์คนติดน้ำ

การปลูกผักลอยแพ สนุก สด ใหม่ สไตล์คนติดน้ำ

การปลูกผักลอยแพ

ลองนึกภาพตามนะครับ เรานั่งอยู่ริมน้ำ มองดูแพที่ลอยอยู่บนผิวน้ำอย่างสบายใจ แล้วบนแพนั้น แทนที่จะเป็นแค่พื้นไม้เปล่าๆ กลับมีผักสดๆ เขียวๆ งอกงามอยู่เต็มไปหมด ทั้งผักบุ้ง คะน้า หรือผักสลัด ดูแล้วสดชื่น สบายตา แถมยังน่ากินอีกด้วย นี่แหละครับเสน่ห์ของ การปลูกผักลอยแพ

การปลูกผักแบบนี้ไม่ได้ยากอย่างที่คิด แถมยังเหมาะกับหลายๆ คนเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ มีพื้นที่จำกัด หรือแม้แต่คนที่อยากลองทำเกษตรแบบใหม่ๆ ที่ดูน่าสนใจ การปลูกผักลอยแพก็เป็นทางเลือกที่ดี

คุณฮวด ไม้เนื้อทองชาวหมู่บ้านราชธานีอโศก ตำบลนุ่งไหม อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ได้ทดลองทำแพปลูกผักผัก เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ไม่มีที่ดินเพาะปลูก ซึ่งคุณฮวดฯ ได้ลองผิดลองถูกหลายวิธี สำหรับการทำแพปลูกผักผักจนได้แพปลูกผักที่มีอายุการใช้งานได้หลายปี

วัสดุทำแพปลูกผัก

  • เศษโฟม ขนาดต่างๆ
  • ไม้ไผ่
  • สแลน
  • ถุงปุ๋ยและเข็มเย็บกระสอบ
  • เชือกพลาสติก
  • ผักตบชวาหรือพืชน้ำย่อยสลายง่าย
  • ดินและปุ๋ยอินทรีย์

ขั้นตอนในการทำแพ

  • นำเศษโฟมขนาดใดก็ได้มาหักให้เป็นชิ้นเล็กนำมาอัดลงในกระสอบปุยเหมือนลักษณะนำนุ่นมายัดหมอน เทคนิคพิเศษ ควรหาโฟมที่มีความยาวและความกว้างมาวางเป็นโครงตั้งรอบกระสอบปุยในลักษณะ 5 หรือ 6 เหลี่ยม ซึ่งสามารถลอยน้ำได้ดีกว่า 4 เหลี่ยม จากนั้นนำโฟมขนาดพอดีกับปากกระสอบปุ๋ยมาวาง ใช้เข็มเย็บกระสอบสานและเย็บเชือกปิดปากถุงจะได้ทุนกระสอบโฟม
  • นำสแลนแบบหนาขนาดมาตรฐานมาช้อนกัน 2 ผืน จากนั้นเย็บเป็นช่องโดยแต่ละช่องจะใส่ทุ่นกระสอบได้ 4 ทุ่น
  • นำไม้ไผ่มาวางพาด ตามข้างๆ เป็นโครงการตามรองของทุ่นกระสอบแล้วมัดยึดกับทุ่นโฟมจะได้รูปร่างเป็นแพลอยน้ำ
  • นำผักตบชวามาใส่บนแพ ให้คนย่ำไปมาอัดผักตบชวาในแน่น จนได้ความหนาประมาณ 50 เซนติเมตร หรือมากกว่านี้ก็ได้ เมื่อหนาได้ตามขนาดที่ต้องการ จึงใช้มีดสับใบและก้านของผักตบชวา เพื่อเวลาใส่ดินและปุ๋ยรองพื้นดินจะแน่นไม่ไหลหนี
  • เตรียมดิน นำดินคลุกกับปุ๋ยอินทรีย์หรือจะนำดินปลูกก็ได้ใส่ลงในผักตบชวาจากนั้นก็สามารถปลูกพืชผักได้ตามต้องการ จากการทดลองปลูกแล้วได้ผลผลิตที่ดี คือ พืชผักสวนครัวทุกชนิด เช่น ผักบุ้ง มะเขือเทศ โหรพา ใบแมงลัก แต่งกว่า ถั่ว ฟักทอง และอีกหลายชนิด ถ้าอยากให้ได้ผลผลิตที่ดียิ่งขึ้น ควรจะนำน้ำน้ำหมัก จุลินทรีย์มารดก็จะช่วยให้ผลผลิตงามมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้สามารถปลูกข้าวได้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจทั้งข้าวเหนียว ข้าวเจ้า ข้าวหอมมะลิและอีกหลายสายพันธุ์

ข้อดี

ไม่ต้องลงทุนสูง ไม่ต้องรดน้ำ ประหยัดเวลา เงิน และพลังงาน อีกทั้งยังอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ช่วยกำจัดโฟม และผักตบชวา โดยเฉพาะสามารถลากแพไปทุกที่ตามที่ต้องการได้ และยังสามารถสร้างกระท่อมเล็กๆ อาศัยได้

การทำแพปลูกผัก หวังว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับผู้ที่ประสบปัญหาอุทกภัยและเดือดร้อนในเรื่องพื้นที่สำหรับเพาะปลูกอยู่ในขณะนี้

แหล่งข้อมูล : ชุมชนราชธานีอโศก 99 หมู่ 10 หมู่บ้านราชธานีอโศก ตำบลปุงไหม อำเภอวารินชำราบจังหวัดอุบลราชธานี 34190 โทรศัพท์ 0-4524-0584-5, 08-4960-665, 08-5008-6174 โทรสาร 0-4532-3360 E-mail address: banraj2004@yahoo.com


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ