ขมิ้นชัน วิธีการปลูกและคุณประโยชน์ต่อสุขภาพที่ต้องรู้
ขมิ้นชัน
ขมิ้นชัน (Curcuma longa L.) เป็นพืชสมุนไพรที่คนไทยมีภูมิปัญญาการใช้ประโยชน์มายาวนานโดยเฉพาะภาคใต้ ซึ่งจะมีการใช้ขมิ้นชันเป็นเครื่องเทศในอาหารประจำวันเกือบทุกชนิดขมิ้นชันเป็นพืชลัมลุกอายุ 1 ปี มีเหง้าอยู่ใต้ดิน เนื้อในของเหง้ามีสีส้มอมเหลือง และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว เหง้าขมิ้นชันมีสรรพคุณ รักษาโรคกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการ จุกเสียดแน่นเฟ้อ บำรุงผิวพรรณ รักษาพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ขมิ้นชันนำไปใช้ในอุตสาหกรรมสมุนไพรอย่างกว้างขวางทั้งอาหาร อาหารเสริม ยารักษาโรคของคนและสัตว์ และเครื่องสำอาง
การขยายพันธุ์และการปลูก ขมิ้นชัน
ขมิ้นชัน ขยายพันธุ์โดยการใช้เหง้า ควรปลูกต้นฤดูฝน การปลูกในบ้านเลือกพื้นที่มีแสงแดด หรือรำไรได้ ดินร่วนซุย มีการระบายน้ำดี ห้ามมีน้ำขังจะเกิดโรคเน่าได้ง่ายเตรียมแปลงให้ดินร่วนซุย ขุดหลุมปลูกลึก 10-15 เซนติเมตร รองก้นหลุมปลูกด้วยปุ้ยคอก200-300 กรัม วางเหง้าในหลุมปลูก กลบดินหนา 5-10 เชนติเมตร ระยะปลูกระหว่างต้น 35 เซนติเมตร ระหว่างแถว 50 เซนติเมตร
การปลูกในภาชนะ ควรใช้ในภาชนะขนาดใหญ่และมีความลึก เพราะเป็นพืชที่มีการลงหัว รดน้ำทุกวัน ส่วนผสมของดินปลูก ดิน 2 ส่วน ทราย 1 ส่วน ปุ้ยคอก 1 ส่วนแกลบเผา 1 ส่วน ตั้งไว้ในที่มีแสงแดด
การดูแลรักษา
ในระยะแรกปลูกต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอจนกว่าพืชจะตั้งตัวได้ ให้น้ำน้อยลงในระยะหัวเริ่มแก่ งดให้น้ำในระยะเก็บเกี่ยว ใส่ปุ๋ยอินทรีย์ 2 ครั้ง หลังปลูก 1 เดือน และหลังปลูก 3 เดือน โรยเป็นแถวข้างต้น ห่างจากโคนต้น 8-15 เซนติเมตร กำจัดวัชพืชบ่อย ๆ โดยถอนหรือใช้จอบดายพรวนดินและกลบโคนต้นในระยะที่ขมิ้นชันยังเล็กอยู่
การเก็บเกี่ยว
ขมิ้นชัน เก็บเกี่ยวในช่วงฤดูแล้ง เมื่อขมิ้นชันมีอายุ 9 เดือนขึ้นไป สังเกตต้นจะฟุบ จะเป็นช่วงที่มีสารสำคัญที่เป็นตัวยาสูง ไม่ควรเก็บเกี่ยวขมิ้นชันในช่วงกำลังแตกหน่อใหม่เพราะจะมีตัวยาน้อย
วิธีการเก็บเกี่ยว ให้น้ำดินพอชื้น ทิ้งไว้ 1 สัปดาห์ เก็บเกี่ยวโดยใช้จอบขุดตัดแยกส่วนเหนือดินและเหง้า อย่าให้หัวขมิ้นชันเกิดบาดแผล นำไปล้างเอาดินที่ติดอยู่ออกให้สะอาด ตัดรากออก สามารถทำแห้งไว้ใช้โดยฝานบาง ๆ นำไปตากแดดบนภาชนะที่สะอาดจนแห้งสนิท เก็บรักษาในที่เย็น เหง้าพันธุ์สำหรับปลูกขยายพันธุ์ต่อไปควรเก็บผึ้งในที่ร่ม สะอาด อากาศถ่ายเทได้และไม่ขึ้น
การใช้ประโยชน์ในครัวเรือน
ใช้เห้ง้าสดประกอบอาหารใช้เป็นยาโดยนำเหง้าขมิ้นชันฝานเป็นชิ้นบาง ๆ ตากให้แห้งสนิทนำมาบดให้เป็นผง รับประทานแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ท้องร่วง และรักษาแผลในกระเพาะอาหารเหง้าสดมาฝนกับน้ำต้มสุกทาแก้ผื่นคัน หรือใช้ผงขมิ้นโรยบริเวณที่มีอาการผื่นคัน
สรรพคุณของขมิ้น
- ขมิ้นมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยในการชะลอวัยและชะลอการเกิดริ้วรอย
- ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
- ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ผิวหนังมีสุขภาพดีแข็งแรง
- ขมิ้นชันอาจมีบทบาทช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง เช่น โรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งปากมดลูก
- ขมิ้นสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายได้
- ช่วยกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย
- ช่วยบรรเทาอาการของโรคเบาหวาน
- มีส่วนช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูง
- ช่วยลดอาการของโรคเกาต์
- ช่วยขับน้ำนมของมารดาหลังคลอดบุตร
- ช่วยรักษาระบบทางเดินหายใจที่มีอาการผิดปกติ
- ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันโรคความจำเสื่อม
- อาจมีส่วนช่วยในการรักษาโรครูมาตอยด์ (ยังไม่ได้รับการยืนยัน)
- ช่วยลดการอักเสบ
- ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะ
- ช่วยรักษาอาการแพ้และไข้หวัด
- ช่วยบรรเทาอาการไอ
- ช่วยรักษาอาการภูมิแพ้ หายใจไม่สะดวกให้มีอาการดีขึ้น
- ช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด
- ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในเม็ดเลือดแดงของผู้ป่วยธาลัสซีเมียฮีโมโกบิลอี
- ช่วยรักษาแผลที่ปาก
- ช่วยบำรุงปอดให้มีสุขภาพดีและแข็งแรง
- น้ำมันหอมระเหยในขมิ้นมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง
- ช่วยรักษาอาการท้องเสีย อุจจาระร่วง โดยนำผงขมิ้นชันผสมน้ำผึ้ง ปั้นเป็นลูกกลอนแล้วนำมารับประทานครั้งละ 3 เม็ด 3 เวลา
- ช่วยแก้อาการจุดเสียด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ
- ช่วยรักษาโรคลำไส้อักเสบ
- ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้
- ช่วยรักษาอาการลำไส้ใหญ่บวม
- มีฤทธิ์ในการช่วยขับน้ำดี
- ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหาร และทำความสะอาดลำไส้
- ช่วยบำรุงตับ ป้องกันตับอักเสบ ตับอ่อนอักเสบ และป้องกันตับจากการถูกทำลายของยาพาราเซตามอล
- ช่วยป้องกันการเกิดโรคริดสีดวงทวาร
- ช่วยแก้อาการตกเลือด ด้วยการนำขมิ้นสดมาตำให้ละเอียด แล้วคั้นเอาน้ำมาผสมกับน้ำปูนใสแล้วรับประทาน
- ช่วยรักษาอาการปวดหรืออักเสบเนื่องจากไขข้ออักเสบ
- ช่วยรักษากลาก เกลื้อน ด้วยการใช้ผงขมิ้นผสมกับน้ำ นำมาทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนทุกวัน วันละ 2 ครั้ง
- ช่วยรักษาโรคผิวหนังพุพอง ตุ่มหนองให้หายเร็วยิ่งขึ้น
- ช่วยรักษาแผลจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ด้วยการนำขมิ้นมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วตำจนละเอียด คั้นเอาแต่น้ำมาทาบริเวณดังกล่าว
- มีฤทธิ์ในการต่อต้านและฆ่าเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง และต่อต้านยีสต์ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำ
- ช่วยต่อต้านปรสิตหรือเชื้ออะมีบาที่เป็นต้นเหตุของโรคบิดได้
- ช่วยต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัส เช่น แบคทีเรียที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคท้องเสีย แบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง เป็นต้น
- มีฤทธิ์ในการต่อต้านการกลายพันธุ์ ต้านสารก่อมะเร็งที่มีความเกี่ยวข้องกับโรคที่เกิดจากการเสื่อมของร่างกาย และโรคเบาหวาน
- ช่วยสมานแผลตามร่างกายให้หายเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการนำผงขมิ้นมาผสมกับน้ำแล้วทาลงบนบาดแผล และยังช่วยให้บาดแผลไม่ให้ติดเชื้อของกระต่ายและหนูขาวได้ และสามารถเร่งให้แผลที่ติดเชื้อหายได้
- ขมิ้นยังมีสรรพคุณช่วยในการป้องกันการงอกของขนอีกด้วย โดยผู้หญิงชาวอินเดียมักนำขมิ้นมาทาผิวเพื่อป้องกันไม่ให้ขนงอก
- ขมิ้นชันขัดผิว ใช้ทำทรีตเมนต์พอกผิวขัดผิวด้วยขมิ้น ช่วยให้ผิวพรรณนุ่มนวล ขาวผ่องใส เต่งตึง ด้วยการนำขมิ้นสดมาล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปปั่นรวมกับดินสอพอง 2-3 เม็ด แล้วผสมกับมะนาว 1 ลูก ปั่นจนเข้ากัน นำมาพอกหน้าหรือผิวทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
- ขมิ้นเป็นส่วนประกอบของทรีตเม้นต์รักษาสิวเสี้ยน สิวผด สิวอุดตัน
- ขมิ้นเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งในเครื่องสำอางบำรุงผิวต่าง ๆ
- นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันแมลงศัตรูพืชได้อีกด้วย
ผลข้างเคียงของขมิ้นชัน
การรับประทานขมิ้นเพื่อการรักษาโรคใด ๆ ก็ตาม ถ้าหากเรารู้ว่าเราเป็นโรคอะไร แล้วรับประทานไปเรื่อย ๆ จนโรคนั้นหายไปแล้ว ก็ควรหยุดรับประทาน ถึงแม้ขมิ้นจะมีประโยชน์ก็จริง แต่หากร่างกายได้รับมากเกินความต้องการอาจจะกลายเป็นโทษเสียเอง ขมิ้นชันมีผลข้างเคียงคืออาการแพ้ เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดหัว นอนไม่หลับ ดังนั้นหากคุณรับประทานขมิ้นแล้วมีอาการดังกล่าว ควรหยุดรับประทานและหายาชนิดอื่นรับประทานแทน และยังมีความเชื่อเรื่องโทษและข้อเสียของขมิ้นในแถบภาคใต้ว่า การรับประทานขมิ้นที่มากเกินไปและถี่เกินไปนั้นแทนที่จะช่วยป้องกันโรคมะเร็ง อาจจะเป็นมะเร็งเสียเอง
อย่างไรก็ตาม คุณควรสังเกตอาการของตัวคุณเองด้วย เนื่องจากอาการท้องเสียนั้นเป็นอาการข้างเคียงทั่วไป อาจมีสาเหตุมาจากยาชนิดอื่นหรือจากภาวะของโรคที่เป็นอยู่แล้วร่วมด้วยก็เป็นได้ ดังนั้นคุณควรสังเกตอาการของตัวคุณเองด้วยว่าเดิมกินยาอื่นแล้วไม่มีปัญหาใช่หรือไม่ แต่เพิ่งมามีปัญหาเมื่อตอนรับประทานขมิ้นร่วมด้วย ก็ควรสงสัยไว้ก่อนว่าอาจเป็นผลข้างเคียงของขมิ้นก็ได้ แต่ทั้งนี้ถ้าคิดว่าเป็นผลข้างเคียงของขมิ้น คุณก็อาจจะรับประทานขมิ้นต่อไปได้ ด้วยการรับประทานซ้ำ และค่อย ๆ ปรับขนาดยา จาก 1 เม็ด เป็น 2 เม็ดต่อครั้ง แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ ก็อาจจะทำให้รับประทานขมิ้นต่อไปได้
การรับประทานอย่างพอประมาณและเหมาะสม รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ งดพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคคือสิ่งที่ถูกต้อง บางสิ่งบางอย่างถึงแม้มันจะมีประโยชน์มากก็จริง แต่ถ้ามันมากเกินไปก็จะเป็นโทษต่อตัวเราได้ จึงไม่ควรหลงละโมภ และรับประทานทานอย่างไร้สติ
แหล่งอ้างอิงที่มา : กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี, สนุกพีเดีย, สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, เว็บไซต์มุสลิมไทยโพสต์
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ