ห้ามพลาด! วิธีเลี้ยงปลากัดมือใหม่ เริ่มต้นเลี้ยงอย่างไร ? ดูแลแบบไหนให้รอด?
หากคุณกำลังมองหาสัตว์เลี้ยงตัวเล็ก สีสันสดใส และดูแลง่าย ปลากัดคือหนึ่งในตัวเลือกยอดนิยมที่ไม่ควรมองข้าม ด้วยรูปร่างลวดลายที่สวยงามและพฤติกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ปลากัดกลายเป็นที่ชื่นชอบของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แต่สำหรับใครที่เพิ่งเริ่มต้น อาจสงสัยว่า “วิธีเลี้ยงปลากัดมือใหม่” ควรเริ่มอย่างไรถึงจะเลี้ยงได้รอด ไม่ตายไว บทความนี้จะพาคุณไปเรียนรู้ตั้งแต่การเลือกภาชนะ การเปลี่ยนน้ำที่ถูกต้อง การให้อาหารอย่างพอดี ไปจนถึงเคล็ดลับการดูแลปลากัดให้แข็งแรงและมีชีวิตชีวา พร้อมเปลี่ยนมือใหม่ให้กลายเป็นนักเลี้ยงปลากัดอย่างมั่นใจ
ปลากัดไทยกับวิถีความเป็นไทย
วิถีชีวิตของคนไทยในอดีตเป็นวิถีชีวิตชนบทของผู้คนในสังคมเกษตรกรรมที่คนส่วนใหญ่มักผูกพันกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่ละครอบครัวมีการเลี้ยงสัตว์ต่างๆเอาไว้โดยมีจุดประสงค์เพื่อเอาไว้ใช้งาน เอาไว้เป็นอาหาร และเอาไว้เป็นงานอดิเรก เช่น การเลี้ยงไก่ชน การเลี้ยงวัว ควาย และการเลี้ยงปลากัด เป็นต้น
เมื่อเสร็จสิ้นฤดูการเก็บเกี่ยว ชาวบ้านมักนำสัตว์ที่ตนเองเลี้ยงมาใช้ในกิจกรรมนอกเหนือจากที่เป็นอยู่ เช่น การกัดปลา การตีไก่ การแข่งวิ่งควาย และชนวัว เป็นต้น จนกลายเป็นประเพณีและขนบธรรมเนียมของสังคมในชนบทและมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นการพนันอีกด้วย
นานกว่า 200 ปี แล้วที่คนไทยรู้จักการเลี้ยงและนำปลากัดมาต่อสู้กัน เนื่องจากปลากัดมีลักษณะเด่นคือเป็นนักสู้ที่มีความทรหดอดทน มีสีสันที่สวยงาม จนกลายเป็นเกมส์กีฬาที่ได้รับความนิยมไม่แพ้การตีไก่ ตามตำนานการกัดปลาไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่ามีมาตั้งแต่สมัยใด แต่มีเรื่องเล่าต่อมาว่า ในสมัยกรุงศรีอยุธยาพวกมอญและพม่าเอากลองยาวมาเผยแพร่ให้คนไทย เพื่อใช้เล่นกันในช่วงเทศกาลงานประเพณีต่างๆ ส่วนคนไทยก็สอนการเล่นกัดปลาเป็นการตอบแทน ต่อมา พม่าก็ได้นำการเล่นกัดปลากลับไปยังประเทศ และได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
ปัจจุบันการแข่งขันกัดปลาได้เสื่อมความนิยมลงไปแล้ว ผู้เลี้ยงส่วนใหญ่นิยมนำปลากัดมาเลี้ยงเพื่อความสวยงามมากกว่า
สายพันธุ์ปลากัดของไทย
ปลากัดเป็นปลาน้ำจืดที่มีถิ่นกำเนิดและแพร่กระจายอยู่ทั้งในประเทศไทย และแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากมายหลายชนิดด้วยกัน ซึ่งปลากัดที่พบในประเทศไทยมีจำนวนทั้งสิ้น 10 ชนิด แพร่กระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ แต่ปลากัดชนิดที่นำมาเลี้ยงกันอย่างแพร่หลายในขณะนี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Betta splendens มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Siamese Fighting Fish
ประเทศไทยนับว่าเป็นแหล่งกำเนิดปลากัดที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ไม่เพียงแค่เรื่องความสวยงามเท่านั้น แต่ยังมีความหลากหลายทางพันธุกรรมที่น่าสนใจอีกด้วย ปลากัดที่พบในประเทศไทยส่วนใหญ่จัดอยู่ในสกุล เบตตา (Betta) ซึ่งเป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็ก มีนิสัยดุและหวงถิ่น ปัจจุบันมีการค้นพบสายพันธุ์ปลากัดป่าในไทยทั้งหมด 10 ชนิดหลัก ได้แก่
- ปลากัดป่าภาคกลาง
พบได้ในพื้นที่ลุ่มภาคกลาง เช่น อยุธยา สุพรรณบุรี ลักษณะเด่นคือมีสีพื้นค่อนข้างเข้ม แถบลำตัวสีเขียวหรือน้ำเงินเข้ม หางและครีบมีความกลมมน - ปลากัดป่าภาคอีสาน
มักพบตามแหล่งน้ำธรรมชาติในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สีสันจะออกไปทางน้ำตาลอมเขียว ตัวเล็ก หัวแหลม และมีความอดทนต่อสภาพแวดล้อมแห้งแล้งได้ดี - ปลากัดป่าภาคใต้
ลำตัวเพรียว สีเข้มกว่าปลากัดภาคอื่น มักมีแถบสีฟ้าหรือน้ำเงินตรงลำตัวและครีบ ชอบอยู่ในแหล่งน้ำที่มีพืชน้ำหนาแน่น เช่นในจังหวัดพัทลุง ตรัง - ปลากัดป่ามหาชัย
เป็นปลากัดหายากที่พบเฉพาะในบริเวณป่าชายเลนมหาชัย จังหวัดสมุทรสาคร มีสีเขียวมะกอกแซมแดงและครีบปลายแหลม มีความสามารถทนต่อความเค็มของน้ำกร่อย - ปลากัดหัวโม่งจันทบูรณ์
พบในภาคตะวันออกโดยเฉพาะจังหวัดจันทบุรี จุดเด่นคือส่วนหัวมีลักษณะโปนคล้ายหมวกกันน็อก มีสีสันจัดจ้าน มักถูกนำไปพัฒนาเป็นปลากัดแฟนซี - ปลากัดหัวโม่งกระบี่
พบในภาคใต้ตอนล่าง ลักษณะคล้ายปลากัดหัวโม่งจันทบูรณ์ แต่ขนาดตัวเล็กกว่า สีเข้ม และนิสัยดุกว่า - ปลากัดน้ำแดง หรือ ปลากัดช้าง
เป็นปลากัดป่าที่มีสีพื้นออกแดงเข้มหรือแดงคล้ำ หัวใหญ่ ลำตัวป้อม นิยมใช้ในการพัฒนาสายพันธุ์ปลากัดเลี้ยงเพื่อการประกวดหรือขาย
การรู้จักสายพันธุ์ปลากัดพื้นถิ่นไทยไม่เพียงช่วยให้เรารักษาความหลากหลายทางชีวภาพ แต่ยังเป็นความภูมิใจในทรัพยากรท้องถิ่นที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์และส่งต่อไปยังคนรุ่นต่อไป
การเลี้ยงและดูแลปลากัด
ปลากัดเป็นปลาที่มีนิสัยก้าวร้าวและชอบต่อสู้กันเมื่อมีอายุประมาณ 1 เดือนครึ่งถึงสองเดือน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องแยกปลากัดไปเลี้ยงในภาชนะที่เตรียมไว้ภาชนะละ 1 ตัว ภาชนะที่เหมาะที่สุดสำหรับการเลี้ยงปลากัดได้แก่ ขวด (สุรา) ชนิดบรรจุน้ำได้ 150 ซีซี เพราะสามารถเรียงกันได้โดยไม่สิ้นเปลืองเนื้อที่ ส่วนการแยกเพศจะสังเกตได้จากปลาตัวผู้จะมีลำตัวสีเข้ม ครีบยาวลายบนลำตัวมองเห็นชัดเจนและขนาดมักจะโตกว่าตัวเมีย ส่วนปลาตัวเมียจะมีสีซีดจาง มีลายพาดตามขวางลำตัว 2-3แถบ และมักจะมีขนาดเล็กกว่าปลาตัวผู้
น้ำที่ใช้เลี้ยงปลากัดต้องสะอาดปราศจากคลอรีน มีความเป็นกรด-ด่าง(pH) ประมาณ 6.5-7.5 มีความ กระด้าง 75-100 มิลลิกรัมต่อลิตร และมีความเป็นด่าง 150-200 มิลลิกรัมต่อลิตร ควรบรรจุน้ำลงในขวดที่ใช้เลี้ยงเพียงเศษ 3 ส่วน 4 ของขวด เพื่อให้เหลือช่องว่างของอากาศเหนือผิวน้ำให้ปลาได้หายใจหรือฮุบอากาศ
สถานที่เลี้ยงปลากัดไม่ควรที่จะเป็นที่ที่โดนแสงแดดโดยตรง เพราะจะทำให้ปลาตายได้ เนื่องจากความร้อนที่มากเกินไป อุณหภูมิที่เหมาะสมควรอยู่ในช่วง 25-28 องศาเซลเซียส
การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์
ปลากัดที่จะใช้นำมาผสมพันธุ์ต้องแข็งแรงและสมบูรณ์เพศเต็มที่ ปลาที่เหมาะสมนำมาผสมพันธุ์ต้องมีอายุประมาณ 5-7 เดือน เนื่องจากแม่พันธุ์จะให้ไข่ถึง 500 – 1,000 ฟอง และลูกปลาที่ฟักออกมาจะมีความแข็งแรงกว่าลูกปลาที่ได้จากแม่พันธุ์ที่มีอายุน้อย
- ปลาตัวผู้ ต้องมีความแข็งแรง มีลักษณะสีสันตามต้องการ และต้องเป็นปลาที่ชอบสร้างหวอด ซึ่งมีลักษณะเป็นฟองอากาศจับกลุ่มลอยอยู่บริเวณผิวน้ำ หวอดเกิดจากปลาตัวผู้พ่นฟองอากาศที่ประกอบด้วยเมือกจากปากและลำคอห่อหุ้มอากาศเอาไว้
- ปลาตัวเมีย ต้องมีความแข็งแรง และมีลักษณะสีสันตามต้องการเช่นกัน ปลาตัวเมียที่พร้อมผสมพันธุ์ต้องมีท้องที่เป่ง ใต้ท้องมีตุ่มสีขาวที่เรียกว่า ไข่นำ มองเห็นได้ชัดเจน และจะมีลายพาดตามขวางของลำตัว 2-3 แถบ เรียกว่า ลายชะโด
การเทียบคู่ปลากัด
เมื่อคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ปลากัดที่จะนำมาผสมพันธุ์ได้แล้ว ให้นำมาใส่ขวดขวดละตัว แล้วนำขวดมาตั้งคู่กันโดยไม่ต้องมีอะไรกั้น ขั้นตอนนี้เรียกว่า การเทียบคู่ การเทียบคู่นี้เพื่อต้องการให้ปลามองเห็นกันตลอดเวลา และเร่งให้ไข่พัฒนาได้เร็วขึ้น บริเวณที่เทียบคู่ควรเลือกสถานที่ที่ไม่มีสิ่งรบกวน เพราะจะทำให้ปลาตกใจ ใช้เวลาเทียบคู่ประมาณ 3-10 วัน ในระหว่างเทียบปลา ควรเตรียมภาชนะที่จะใช้เพาะฟักซึ่งเราเรียกว่า อ่างรัด หรืออ่างเพาะ เช่น ขวดโหล ตู้กระจก อ่างซีเมนต์ ขนาดพื้นที่ไม่กว้างมาก (ไม่ควรเกิน 1 ตารางเมตร) ปากอ่างควรมีฝาปิดเพื่อป้องกันปลากระโดด
เติมน้ำที่มีคุณภาพเดียวกับที่ใช้เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ ระดับน้ำสูงไม่เกิน 5-7 เซนติเมตร ระดับน้ำมีผลคือเมื่อแม่ปลากัดปล่อยไข่ พ่อปลาจะได้ใช้เวลาไม่นานในการว่ายเก็บไข่มาใส่หวอดหรือเมื่อลูกปลาฟักออกจากไข่ลูกปลาจะจมลงก้นอ่าง ถ้าน้ำลึกเกินไปลูกปลาจะไม่สามารถว่ายขึ้นมาหายใจได้ ใช้พันธุ์ไม้น้ำที่สามารถหาได้ง่ายเช่น สาหร่ายน้ำจืด จอก ใบผักตบชวา หรือพันธุ์ไม้น้ำอื่นๆ ที่หาได้ง่่ายมาใช้เพื่อเป็นที่เกาะของหวอด
การผสมพันธุ์
เมื่อปลาตัวผู้และตัวเมียได้เทียบคู่กันแล้ว ขั้นต่อไปจึงนำปลาทั้งคู่มาใส่ลงในอ่างเพาะที่เตรียมไว้ โดยจะต้องมีฝาปิดด้านบนเพื่อป้องกันปลากระโดด อ่างที่ใช้ควรมีสีเข้ม เพื่อปลาตัวผู้จะได้มองไข่ได้ชัดเจน เมื่อปลาสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ (ใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน) ในอ่างเพาะได้แล้ว ปลาตัวผู้จะเริ่มก่อหวอดติดกับพันธุ์ไม้น้ำ
หลังจากก่อหวอดเสร็จจะเริ่มพองเหงือกและกางครีบ ไล่ต้อนตัวเมียให้ไปอยู่ใต้หวอด เมื่อปลาตัวเมียลอยตัวขึ้นบริเวณผิวน้ำ ปลาตัวผู้จะงอตัวเป็นรูปตัวยู หรือตัวเอส รัดปลาตัวเมียตรงบริเวณช่องอวัยวะเพศ ถ้าปลาตัวเมียมีไข่แก่เต็มที่ไข่ก็จะหลุดออกมาทางช่องอวัยวะเพศ ทันทีที่ปลาตัวเมียปล่อยไข่ ปลาตัวผู้ก็จะฉีดน้ำเชื้อเข้าผสมทันที ไข่ที่ปล่อยออกมาจะค่อยๆ จมลงสู่ก้นอ่างเพาะ ปลาตัวผู้ก็จะตามลงไปใช้ปากอมไข่ที่ละฟองมาพ่นใส่ไว้ที่หวอดจนหมด ส่วนตัวเมียอาจช่วยตัวผู้เก็บไข่ที่ได้รับการผสมแล้วไปพ่นที่หวอด บ้างเป็นบางครั้งในช่วงต้นๆของการผสมพันธุ์ เมื่อปลาตัวเมียวางไข่แล้วจะลอยตัวนิ่งๆสักพักหนึ่งแล้วเริ่มว่ายหงายท้องเพื่อให้ตัวผู้รัดอีกครั้ง พฤติกรรมดังกล่าวจะเกิดขึ้นหลายๆ ครั้งจนกว่าตัวเมียจะวางไข่หมด ตัวเมียจะใช้เวลาในการวางไข่ทั้งหมดประมาณ 1-6 ชั่วโมง
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดและความสมบูรณ์ของตัวเมีย เมื่อสิ้นสุดการวางไข่ตัวผู้จะทำหน้าที่ดูแลไข่เพียงตัวเดียว และจะไล่ต้อนตัวเมียไม่ให้เข้าใกล้หวอด ช้อนตัวเมียออกจากอ่างเพาะเพราะตัวเมียอาจกินไข่ที่ผสมแล้ว ปล่อยให้ตัวผู้ดูแลไข่ประมาณ 2 วัน แล้วจึงแยกออกจากอ่างเพาะ ช่วงที่ตัวผู้ดูแลไข่มันจะไม่ยอมกินอาหาร อาจเนื่องมาจากกลัวจะเข้าใจผิดคิดว่าไข่เป็นอาหาร ไข่จะเริ่มฟักออกเป็นตัวหลังจากได้รับการผสมจากน้ำเชื้อประมาณ 36 ชั่วโมง
การอนุบาลลูกปลากัด
ลูกปลาที่ฟักออกจากไข่ใหม่ๆจะเกาะอยู่ที่หวอด และมีถุงอาหารติดอยู่ที่ตัว ลูกปลาจะใช้อาหารจากถุงอาหารหมดภายใน 3-4 วัน ดังนั้นในช่วงนี้จึงไม่จำเป็นต้องให้อาหาร เมื่อลูกปลาเริ่มกินอาหารควรให้ไข่แดงต้มสุกบดละเอียดกรองผ่านกระชอนตาถี่ๆ หยดกระจายในน้ำที่เลี้ยงลูกปลาวันละ 1 ครั้ง เป็นเวลา 3-5 วัน แล้วจึงเปลี่ยนไปใช้ไรแดงที่มีขนาดเล็กเลี้ยง เมื่อลูกปลาเริ่มโตจึงเปลี่ยนไปเลี้ยงด้วยไรแดงขนาดใหญ่จนกระทั่งลูกปลาสามารถกินลูกน้ำได้ จึงควรเลี้ยงด้วยลูกน้ำต่อไป
เมื่อปลากัดอายุได้ประมาณ 1 เดือนครึ่งถึง 2 เดือนจะสามารถแยกเพศได้ ควรแยกปลากัดตัวผู้และตัวเมียออกจากกัน โดยเฉพาะปลากัดตัวผู้จะต้องแยกจากกัน เนื่องจากพวกมันจะเริ่มกัดกันเอง เพื่อแสดงลำดับขั้น
เมื่อลูกปลามีอายุ 4 เดือน นับว่าปลากัดโตเต็มที่แล้ว พร้อมที่จะจำหน่ายและผสมพันธุ์ ในช่วงนี้อาหารที่ให้คงเป็นลูกน้ำ หรือเป็นอาหารที่มีชีวิตอื่นๆ เช่น ปลวก ไส้เดือน เป็นต้น
อาหารปลากัด
ปลากัดเป็นปลาขนาดเล็กที่กินอาหารเก่ง โดยเฉพาะอาหารที่เคลื่อนไหวหรือมีชีวิต เช่น ลูกน้ำ ไรแดง หนอนแดง และไส้เดือน ซึ่งเป็นอาหารตามธรรมชาติที่ปลากัดชอบ นักเพาะพันธุ์มักใช้ลูกน้ำเลี้ยงปลากัดโตเต็มวัย เพราะช่วยให้ปลาโตเร็วและแข็งแรง การให้อาหารควรให้วันละ 1–2 ครั้ง ตอนเช้าหรือเย็น และหากเลี้ยงเพื่อเป็นพ่อแม่พันธุ์ ควรให้อาหารอย่างพอดี ไม่มากเกินไปเพื่อป้องกันการสะสมไขมันที่อาจกระทบต่อคุณภาพของพันธุ์ปลา
ในปัจจุบันเราอาจแบ่งอาหารของปลากัดออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. อาหารสำเร็จรูป
อาหารประเภทนี้เป็นการผสมวัสดุอาหารที่ได้จากพืชและสัตว์ เพื่อให้ได้อาหารที่มีคุณค่าทางอาหารสูง มีสารอาหารต่างๆครบถ้วน แต่อย่างไรก็ตามปลากัดมักไม่ค่อยชอบกินอาหารสำเร็จรูป จึงทำให้ผู้ผลิตพยายามพัฒนาอาหารที่มีคุณภาพเพื่อให้ปลากัดยอมรับมากขึ้น อาหารสำเร็จรูปแบบเกล็ดได้ทดสอบแล้วพบว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับปลากัด เพราะกินง่ายและลอยอยู่บนผิวน้ำ อาหารสำเร็จรูปเมื่อเปิดกระป๋องแล้ว ต้องใช้ให้หมดเนื่องจากอาหารจะดูดความชื้นและคุณภาพอาจเปลี่ยนไป
2.อาหารที่มีชีวิตสำหรับปลากัด
ปลากัดนิยมกินอาหารที่มีชีวิตมากกว่าอาหารสำเร็จรูป เพราะช่วยกระตุ้นการกิน ทำให้ปลาเจริญเติบโตเร็ว แข็งแรง และสีสันสวยงาม อย่างไรก็ตาม การใช้อาหารสดควรใส่ใจเรื่องความสะอาด เพราะอาจนำโรคหรือปรสิตมาสู่ปลาได้ อาหารมีชีวิตที่นิยมใช้มีหลายชนิด ได้แก่:
- ลูกน้ำ คือตัวอ่อนของยุง พบได้ตามแหล่งน้ำขัง เป็นอาหารหลักของปลากัดโตเต็มวัย ควรใช้ให้หมดในแต่ละวันเพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นยุง ปัจจุบันมีลูกน้ำอบแห้งผสมสารอาหารวางขายด้วย
- หนอนแดง ตัวอ่อนของแมลงริ้นน้ำจืด ลักษณะคล้ายหนอนขนาดเล็ก สีแดง พบได้ตามบริเวณน้ำขัง ปลากัดชอบกินมากและหาง่าย
- ไรแดง สัตว์น้ำจืดขนาดเล็ก จัดอยู่ในกลุ่มครัสเตเชียน (เช่นเดียวกับกุ้ง-ปู) มีสีแดง พบตามคูน้ำ หรือเลี้ยงขายตามร้านปลาสวยงาม เหมาะสำหรับลูกปลาหรือปลาขนาดเล็ก
- ไส้เดือนดิน หาได้ง่ายตามดินร่วนซุย ถ้าตัวเล็กปลากินได้เลย ถ้าใหญ่ควรหั่นเป็นชิ้นเล็กก่อนให้กิน
- อาร์ทีเมีย หรือไรน้ำเค็ม ขายเป็นไข่ เมื่อนำไปฟักในน้ำเค็มจะกลายเป็นตัวภายใน 24 ชม. เหมาะกับลูกปลาหรือปลาขนาดใหญ่ แต่ควรระวังเรื่องการย่อย เพราะเปลือกของอาร์ทีเมียอาจย่อยยาก
- ไข่สัตว์น้ำ เช่น ไข่กุ้ง ไข่มด ไข่หอย และไข่กบ เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยให้ปลาสุขภาพดีและมีสีสันสดใส
อาหารที่มีชีวิตเหล่านี้มีประโยชน์มาก แต่ผู้เลี้ยงควรดูแลเรื่องความสะอาดเสมอ เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพของปลา
โรคของปลากัดและวิธีการรักษา
การเลี้ยงปลากัดเอาไว้ดูเล่นหรือเพื่อเป็นธุรกิจย่อมมักประสบปัญหาเกี่ยวกับการเกิดโรคของปลา เช่นเดียวกัน ตามปกติแล้วปลากัดเป็นปลาที่อดทนและสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี หากเลี้ยงได้อย่างถูกวิธีแล้วมักไม่ค่อยเป็นโรค โรคที่พบในปลากัดมักไม่ค่อยมีอาการรุนแรงถึงขนาดทำให้ปลาตายได้ ดังนั้นหากว่าผู้เลี้ยงทราบถึงสาเหตุและอาการของโรคที่เกิดขึ้นก็สามารถหาวิธีป้องกันและรักษาได้อย่างถูกต้อง
การรักษาปลากัดที่เป็นโรคจะแบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน คือ
- การแยกปลากัดที่ป่วยออกจากกัน ถ้าพบว่าปลากัดตัวหนึ่ง หรือมากกว่าหนึ่งมีอาการป่วย ให้ทำการคัดแยกปลาป่วยออกมาใส่ภาชนะใหม่ เพื่อรอการรักษาต่อไป ส่วนวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้คัดแยกปลาที่ป่วย ควรทำความสะอาด หรือฆ่าเชื้อทุกครั้งหลังใช้งาน รวมทั้งทำความสะอาดอวัยวะต่างๆ ของผู้เลี้ยง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคไปยังบ่ออื่นๆ
- การพิจารณาโรคและการรักษา หลังจากคัดแยกปลากัดที่ป่วยออกมาแล้ว ให้พิจารณาอาการของปลา โดยดูจากลักษณะภายนอกว่ามีลักษณะอย่างไร สาเหตุของโรคมาจากอะไร และจะทำการรักษาวิธีไหน ตลอดจนจะป้องกันโรคได้อย่างไร เมื่อพิจารณาแล้วก็ดำเนินการวางแผนการรักษาต่อไป
โรคที่มักพบได้บ่อยในปลากัดมีอยู่หลายโรคด้วยกัน แต่ละโรคมักมีสาเหตุที่แตกต่างกันไป บางโรคอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย บางโรคอาจเกิดจากเชื้อรา และบางโรคอาจเกิดจากปรสิตภายนอก ดังนั้นเราควรมารู้จักโรคที่สำคัญๆเหล่านี้คือ
- โรคไฟลามทุ่ง เป็นโรคที่ติดต่อกันได้เร็วที่สุดใช้ระยะเวลาเพียง 2 -3 วันก็จะติดต่อกันหมด
ลักษณะอาการ เป็นแผลบริเวณโคนครีบหาง ครีบหู และครีบท้อง ขอบแผลจะมีลักษณะเป็นรอยช้ำแดง และเป็นเส้นปุยสีขาว เกล็ดของปลาจะพอง ปลาที่เป็นโรคจะลอยตัวอยู่บริเวณผิวน้ำ
การป้องกันรักษา ให้รีบช้อนปลาที่เป็นแผลออกทันที ส่วนปลาที่เหลืออยู่้ใช้ต้นหญ้าไทรที่ตากแดดหมาดๆนำมาใส่ในบ่อเลี้ยงให้มีปริมาณมากพอที่จะทำให้น้ำมีสีเข้ม และเป็นฝ้าเล็กน้อย แช่ปลากัดไว้ประมาณ 5 – 7 วัน คล้ายกับการหมักปลากัด เมื่อแผลของปลากัดหายแล้วให้ย้ายปลากัดไปเลี้ยงในตู้ หรืออ่างใหม่ที่ใส่หญ้าไทรเล็กน้อย พอให้เกิดเป็นสีชา ปลากัดที่เลี้ยงจะค่อยๆแข็งแรง และหายเป็นปกติ - โรคปากดำ เป็นโรคที่รักษาไม่หาย ปลากัดที่เป็นโรคปากดำจะนำไปกัดไม่ได้ ทั้งนี้เพราะปลากัดใช้ปากในการต่อสู้ ถ้าปากของปลากัดเจ็บก็ไม่สามารถต่อสู้กับศัตรูได้
ลักษณะอาการ ปลากัดที่เป็นโรคปากดำ ขอบปากด้านบนจะมีขอบหนามากผิดปกติ และจะมีสีดำเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ
การป้องกันรักษา แม้ว่าโรคปากดำเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง แต่โรคนี้ยังไม่มีทางรักษา ดังนั้นเมื่อพบว่าปลากัดที่เลี้ยงเป็นโรคปากดำให้ตักทิ้ง อย่าเสียดาย เพราะมิฉะนั้นจะทำให้ปลากัดตัวอื่นติดโรคนี้ไปด้วย - โรคปากเปื่อย จัดเป็นโรคที่ร้ายแรงชนิดหนึ่งของปลากัด โรคนี้รักษาไม่หาย ดังนั้นถ้าพบว่าปลากัดเป็นโรคปากเปื่อยต้องแยกออกทันที
ลักษณะอาการ เริ่มจากขอบปากเป็นแผลสีขาวและลักษณะเป็นขุยเส้นเล็กๆ ปลากัดที่เป็นโรคปากเปื่อยจะไม่ค่อยว่ายน้ำและมักลอยตัวอยู่บริเวณผิวน้ำเฉยๆ
การป้องกันรักษา เนื่องจากโรคนี้ไม่มีทางรักษา ถ้าพบว่าปลากัดเป็นโรคชนิดนี้ควรรีบแยกออกทันที - โรคที่เกิดจากเชื้อรา โดยปกติแล้วเชื้อราไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงของโรค สาเหตุของโรคเนื่องจากปลาได้รับความบอบช้ำ
ลักษณะอาการ เห็นปุยขาวคล้ายสำลีในบริเวณที่เป็นโรค ปลามีอาการซึมไม่ว่ายน้ำ หยุดกินอาหาร ปลากัดสีซีด
การป้องกันรักษา ใช้มาลาไคท์กรีนเข้มข้น 0.1-0.25 ส่วนในล้านส่วน ร่วมกับฟอร์มาลีน 25 ส่วนในล้านส่วนแช่ปลานาน 3 วัน - โรคหางและครีบเปื่อย เป็นโรคที่พบอยู่เสมอ สาเหตุเกิดจากน้ำที่ใช้เลี้ยงสกปรก มีตะกอนหรือเศษอาหารเหลือและทับถมอยู่ที่ก้นบ่อ ทำให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค
ลักษณะอาการ ปลาจะเริ่มเปื่อยบริเวณครีบต่างๆก่อนแล้วค่อยๆลุกลามเข้าไปจนถึงตัวปลา โรคนี้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ดังนั้นถ้าปลาเป็นโรคนี้แล้วจะทำให้ครีบต่างๆ ของปลาเสียหายไม่สวยงาม
การป้องกันรักษา ใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาในอัตราส่วน 1-2 กรัมต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่ปลานานประมาณ 2-3 วัน ยาปฏิชีวนะที่ใช้ ได้แก่ ออกซีเตตร้าไซคลิน ไนโตรฟูราโซน เป็นต้น
การหมักปลาคืออะไร
เรามักได้ยินอยู่บ่อยๆว่าผู้เลี้ยงปลากัดมักมีการหมักปลาในบางช่วงที่มีการเลี้ยงปลากัด ซึ่งการหมักปลานั้นหมายถึง วิธีการรักษาปลาและบำรุงปลาด้วยวิธีการทางธรรมชาติโดยใช้สมุนไพร หลังจากการหมัก ปลากัดจะมีสีและเกล็ดเรียบเป็นมันเงา
จุดประสงค์ของการหมักปลา คือ เพื่อให้ปลากัดเก่ง สู้เก่ง และเพื่อรักษาแผลจากการต่อสู้ เพื่อรักษาแผลที่ไม่สบายหรือมีอาการตกใจ
วิธีการหมักปลา
- ใช้ใบตองแห้งหรือใบหูกวางแห้งจำนวน 1 ใบ
- ใช้ใบตะไคร้ประมาณ 4-5 ใบ
- ดินเหนียวปั่นตากแห้งพอประมาณ
- นำส่วนผสมในข้อ 1-3 มาใส่ลงในน้ำที่เตรียมไว้ เพื่อให้ได้น้ำหมักใบหูกวาง
- นำน้ำที่ได้จากการหมักมาเลี้ยงปลากัดประมาณ 10 -15 วัน ให้กินอาหารทุกวัน หรือ 2 วันให้กิน 1 ครั้ง
- ถ้าเป็นการหมักเพื่อการแข่งขัน ผู้เลี้ยงจะนำปลามาเลี้ยงต่อในน้ำปกติประมาณ 10 วัน แต่ละวันจะนำปลาตัวเมียมาปล่อยลงไปเพื่อให้ตัวผู้ไล่ประมาณ 3-4 นาที จากนั้นให้ลูกน้ำกินเป็นอาหาร
***หมายเหตุ ในธรรมชาติใบหูกวางและใบตองแห้งจะมีสารพวกแทนนินเป็นองค์ประกอบ ซึ่งสารนี้จัดว่าเป็นสารที่มีพิษ แต่การนำใบหูกวางและใบตองมาใช้ในการหมักปลานั้นนับว่าเป็นภูมิปัญญาของไทย และปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาวิจัยที่เป็นเอกสารอ้างอิงถึงผลของสารแทนนินที่มีต่อปลากัดดังกล่าว
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ