การปลูกกระท้อน เทคนิคการดูแล สำหรับมือใหม่
กระท้อน เป็นไม้ผลเมืองร้อนอีกชนิดหนึ่งที่มีปลูกกันในประเทศไทยมาเป็นเวลาช้านาน ส่วนมากจะปลูกกันตามสวนหลังบ้านและ มักจะเป็น พันธุ์พื้นเมือง รสเปรี้ยว จึงไม่มีการเอาใจใส่ดูแลรักษาต่อมาระยะหลังนี้มีผู้นิยมปลูก กระท้อนพันธุ์ดีกันมากขึ้น ความต้องการของตลาดก็มีมากขึ้นด้วย จึงทำให้พื้นที่ปลูกกระท้อนพันธุ์ดีขยายตัวเพิ่มมากขึ้น เพราะนอกจากจะดูแลรักษาง่ายแล้วผลผลิตยังจำหน่ายได้ราคาดีอีกด้วย เดิมแหล่งผลิตกระท้อนพันธุ์ดีจะมีเฉพาะที่จังหวัดนนทบุรีและบางเขตของกรุงเทพมหานครเทานั้น แต่ปัจจุบันกระจายไปอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ เช่น ปราจีนบุรี ชลบุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี เป็นต้น
สายพันธุ์ที่นิยมปลูก
ปัจจุบันมีกระท้อนพันธุ์ต่าง ๆ ไม่ต่ำกว่า 20 พันธุ์ ได้แก่ ทับทิม เขียวหวาน ปุยฝ้าย นิ่มนวล ขันทอง เทพรส อีล่า บัวลอย หลังท่อไหว ตาเชื่อม ทองหยิบ ทับทิมทอง อีจาน หมาตื่น ปุยเมฆ ทองใบใหญ่ ตาอยู่ ไกรทอง เมล็ดไหว กำมะหยี่ผลกระท้อนส่วนใหญ่จะมี ลักษณะที่ค่อนข้างคล้ายกัน บางครั้งก็ทำให้เกิดความสับสนในการแยกพันธุ์ต้องอาศัยความชำนาญมาก ๆ จึงจะสามารถบอกได้ว่าเป็นพันธุ์อะไรได้อย่างถูกต้อง
การปลูกกระท้อน
การปลูกกระท้อนในประเทศไทยแบ่งตามสภาพพื้นที่ได้ 2 แบบ คือ
แบบสวนยกร่อง
พื้นที่ส่วนใหญ่จะอยู่ทางที่ลุ่มภาคกลาง พื้นที่ เดิม เป็นท้องนามีน้ำท่วมถึง จึงต้องยกร่องขึ้นเพื่อสะดวกในการระบายน้ำ ขนาดของสันร่องโดยทั่วไปจะกวางไม่น้อยกว่า 6 เมตร จะมีร่องน้ำกว้าง 1.5 เมตร ลึก 1 เมตร ระยะปลูกสำหรับพื้นที่ยกร่องจะใช้ระยะระหว่างต้นประมาณ 6 เมตร ในพื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกได้ประมาณ 35 ต้น
แบบสวนที่ดอน
เป็นพื้นที่ที่นอกเหนือไปจากแบบแรก และมักไม่มีปัญหาเรื่องน้ำท่วม จึงไม่ต้องยกร่อง เมื่อไถปรับพื้นที่แล้วก็สามารถขุดหลุมปลูกได้เลย ตามปกติกระท้อนเป็นไม้ผลที่ทรงพุ่มขนาดใหญ่ แต่เพื่อความสะดวกในการดูแลรักษาและห่อผลซึ่งจะต้องทำทุกปี จึงนิยมตัดแต่งกิ่งนำที่จะทำให้ทรงพุ่มสูงขึ้นไปออกเสีย ทรงพุ่มพุ่มจะขยายออกด้านข้างแทนด้านบน จึงสะดวกในการปฏิบัติงานสำหรับพื้นที่ดอนสามารถใช้ระยะปลูกตั้งแต่ 6 x 8 เมตร ถึง 5 x 8 เมตร ในพื้นที่ 1 ไร่ จะปลูกได้ประมาณ 25 – 30 ต้น
การเตรียมหลุมปลูก
ควรจะขุดหลุมให้มีขนาดไม่ต่ำกว่า 50 x 50 x 50 เมตร (กว้าง x ยาว x ลึก) หลุมถ้ามีขนาดใหญ่ยิ่งดีจะช่วยให้ตนกระท้อนโตเร็วมากยิ่งขึ้น ผสมดินที่ขุดขึ้นมากับปุ๋ยคอกเก่า ๆ (ประมาณ 10 กก. ต่อหลุม) ร่องก้นหลุมด้วยปุ๋ยหินฟอสเฟต ประมาณ 1 กิโลกรัมต่อหลุม กลบดินผสมลงในหลุมให้พูนขึ้นกว่าระดับปากหลุมเล็กน้อย วางต้นกระท้อนที่เตรียมไว้ (เอาถุงที่ชำออกก่อน) ปลูกลงกลางหลุมกดดินให้แน่น ใช้ใช้ไม้หลักป้ายยึดลำต้นกันลมพัดโยก รดน้ำให้ชุ่ม ถ้ามีแดดจัดควรมีการพลางแดดให้ด้วยจะทำให้ต้นกระท้อนตั้งตั้งตัวเร็วขึ้น
การออกดอกติดผล
เดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม ใบของกระท้อนจะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีเหลืองส้มและร่วงในเวลาต่อมาจากนั้น จะมีการแทงยอดอ่อนและช่อดอกออกมาประมาณมกราคม ดอกจะเริ่มบานติดผลเล็ก ๆ ตามปกติกระท้อนจะติดผล ค่อนข้างมากแต่ก็จะร่วงไปในขณะที่ผลยังเล็กอยู่เป็นจำนวนมากด้วย เช่นกันเมื่อถึงเวลาห่อก็จะมีการเด็ดผลที่ไม่ดี หรือช่อที่ติดผลมากไปทิ้งด้วย จนในที่สุดจะเหลือผลกระท้อน ที่ห่อได้ประมาณ 400-600 ผลต่อต้น
การหอผลกระท้อน
หลังจากดอกบานแล้วประมาณ 80-100 วัน ผลจะมีขนาดโตประมาณ 5-6 ชม. ผิวจะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีเขียว ขี่ม้า และหลังจากนี้อีก 7-10 วัน จะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีกระดังงา ซึ่งเป็นช่วงที่แมลงวันผลไม้จะเริ่มเข้าทำลายแล้ว จึงจะต้องทำการห่อผลตั้งแต่สีผิวเป็นสีเขียวขี้ม้า วัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการเข้าทำลายของแมลงวันผลไม้ และผลที่ได้ตามมาคือ ผิวของผลจะสวย ผลมีขนาดใหญ่ขึ้น เนื้อมีคุณภาพดีขึ้น แต่ไม่ควรห่อผลตั้งแต่ผลที่ยังเล็กอยู่เพราะจะทำให้ผลเคระแกรนและร่วง
ก่อนห่อผลประมาณ 2-3 วัน ควรทำการพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดแมลง เช่น คาร์บาริล โมโนโครโตฟอส เพื่อป้องกันกำจัดแมลงก่อน ขณะห่อจะทำการตัดแต่งผลไปพร้อมกัน โดยเลือกเด็ดผลที่มีลักษณะไม่ดี และช่อที่ผลเบียดกันออกบ้าง ควรเหลือเฉพาะผลเดี่ยว ๆ จะทำให้ผลเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ นิยมใช้ไม้ตอกสำหรับมัดปากถุง เนื่องจากสะดวกในการมัด การขึ้นไปห่ออาจใช้บันไดหรือพะองพาดกิ่งปืนขึ้นไปห่อ บางสวนที่สามารถหาไม่ไผ่ได้ง่าย อาจมีการทำนั่งร้านรอบ ๆ ต้น ให้คนห่อปีนขึ้นไปปฏิบัติงานได้สะดวก อีกทางหนึ่งหลังจากห่อผลแล้ว 45-60 วัน ผลจะแก่ แต่จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับพันธุ์ด้วยบางพันธุ์อาจจะช้ากว่านี้อีกก็ได้
การป้องกันกำจัดโรคและแมลง
ไรแดง จะเข้าทำลายกระท้อนในระยะตั้งตั้งแต่ใบอ่อนจนถึงใบแก่ ทำให้ใบหงิกงอเป็นปุ่นปุ่มปม ด้านใต้ใบ จะมีลักษณะคล้ายกำมะหยี่ สีน้ำตาลถ้ามีระบาดมากจะทำให้ใบออนหงิกงอหมด เมื่อพบว่าเริ่มมีไรแดงระบาดควรทำการตัดแต่งใบที่ถูกทำลายไปเผาทำลายทิ้ง และฉีดพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดไรแดง เช่น กำมะถันผงไดโคโฟล อามีทราส ไดโนบูตัน โดยฉีดพ่นหลังจากตัดแต่งกิ่งและเริ่มแตกใบอ่อน 2-3 ครั้ง ทุก 4 วัน
หนอนผีเสื้อ
หนอนผีเสื้อยักษ์จะมีขนาดตัวใหญ่สีฟ้า จะเข้ากัดกินใบและยอดอ่อนทำให้ต้นกระท้อนชะงักการเจริญเติบโต ผลผลิตลดลง ถามีระบาดควรจับตัวหนอนมาทำลายและฉีดพนสารเคมีป่องกันกำจัดแมลง เช่น เมทโธมีลประมาณ 1-2 ครั้ง ห่างกัน 15 วัน
หนอนร่านกินใบ
ตัวหนอนมีขนาดเล็กมีขนถ้าถูกผิวหนังจะรู้สึกแสบและค้น ตัวหนอนเข้ากัดกินใบเสียหาย ถ้ามีระบาดมากจะพบว่าตัวหนอนจะรวมกันเป็นกระจุกกัดกินใบแหว่งเป็นวง กำจัดโดยตัดใบที่มีตัวหนอนอยู่ด้วยไปทำลายทิ้งและฉีดพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดแมลง เช่น เพอร์เมททริน เมทโธมมีล ประมาณ 1-2 ครั้ง
หนอนเจาะขั้วผล
หนอนชนิดนี้จะอาศัยอยู่ในรังที่ทำจากกลีบดอกกระท้อนแห้ง ๆ และเข้ากัดกินขั้วผลขณะที่ผลกระท้อนยังเล็กอยู่ ทำให้ผลแห้งและร่วงหล่น การป้องกันกำจัดหนอนชนิดนี้ โดยการตัดแต่งกิ่งให้มีทรงพุ่มโปร่ง เมื่อเริ่มติดผลขนาดเล็ก ควรมีพนละอองน้ำล้างช่อดอกจะช่วยลดการทำลายลงได้ ถ้าระบาดมากควรพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดแมลง เช่น โมโนโครโตฟอส ประมาณ 3-4 ครั้ง ทุก 7-10 วัน
เพลี้ยไฟ
เพลี้ยไฟจะเข้าทำลายกระท้อนตั้งแต่ระชะยอดอ่อน ระยะช่อดอกจนถึงติดผลขนาดเล็กทำให้ดอกแห้งร่วงผลจะมีผิวลายและจะติดไปจนผลแก่ หากพบว่ามีเพลี้ยไฟระบาาดควรรีบทำการพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดแมลง เช่น คาร์โบซัลแฟน ฟอร์มีทาเนท ในช่วงเริ่มออกช่ออกและก่อนดอกบาน แต่งดการฉีดพ่นช่วงดอกบานหลังจาก ติดผลแล้วจึงฉีดพ่นใหม่ประมาณ 2-3 ครั้ง ห่างกัน 7-10 วัน
แมลงวันผลไม้
แมลงวันผลไม้จะเข้าวางไข่บนผลที่ผิวเปลือกเริ่มเปลี่ยนเป็นสีกระดังงาเป็นต้นไป ตัวหนอนจะชอนไซเข้าไปกัดกินเนื้อ ทำให้ผลเน่าและร่วงหล่น การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การห่อผลในระยะที่ผลกระท้อนเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีขี้ม้า (ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสีกระดังงา) ก็จะป้องกันได้
โรคใบจุด
โรคใบจุดเกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่ง เมื่อมีการระบาดจะทำให้เกิดเป็นจุดขนาดเล็ก ๆ บนใบ ขอบแผลมีสีเข้มตรงกลางมีสีเหลืองจุดเล็ก ๆ จะขยายไปจนทั่วใบตามความยาวของใบ เมื่อพบว่ามีโรคดังกล่าวระบาดมากควรทำการฉีดพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา เช่น บิโนมีล คาร์เบนดาชิม ทุก 10-15 วัน
การดูแลรักษา
หลังจากปลูกแล้ว จะต้องคอยดูแลรักษาต้นกระท้อนอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่ากระท้อนจะเป็นไม้ผลที่ไม่ค่อยมีโรคแมลงรบกวนมากนัก แต่การบำรุงรักษาให้ดีอยู่เสมอจะช่วยให้ต้นกระท้อนเจริญเติบโตเร็วมากการดูแลรักษาโดยทั่วไปมีดังนี้
การให้น้ำ
ปกติกระท้อนเป็นพืชที่ชอบน้ำแต่ขณะเดียวกันก็ทนสภาพความแห้งแล้งได้เป็นอย่างดี ในช่วงที่กระท้อนยังเล็กอยู่จะต้องให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ เมื่อดริญเติบโตขึ้นการให้น้ำก็จะมีช่วงห่างขึ้น อย่างไรก็ดีในช่วงที่ต้นกระท้อน เริ่มออกช่อดอกและติดผลจะต้องให้น้ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้
- ช่อดอกมีความสมบูรณ์ การติดผลดี
- ผลที่ติดแล้วมีการเจริญเติบโตอย่างสม่ำเสมอ สวนที่มีการให้น้ำดีจะทำให้ผลมีขนาดโตกว่าสวนที่ขาดแคลนน้ำ
- ลดปัญหาเรื่องผลแตกได้ ซึ่งปัญหานี้จะพบเสมอในสวนที่ขาดแคลนน้ำ
การตัดแต่งกิ่ง
การตัดแต่งกิ่งกระท้อนในแต่ละปีจะทำเพียงเล็กน้อย สำหรับต้นที่ยังไม่ให้ผลมักจะให้มีการเจริญเติบ โดอย่างเต็มที่ มีการตัดแต่งกิ่งที่แน่นทึบออกบ้าง เมื่อกระท้อนเริ่มให้ผลผลิตแล้ว การตัดแต่งจะมีมากขึ้นเล็กน้อยโดยจะทำการตัดแต่งกิ่งหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วสิ่งที่ควรพิจารณาตัดแต่งออกมี
- กิ่งที่ถูกโรคแมลงเข้าทำลาย กิ่งแห้งตาย
- กิ่งที่แน่นทึบอยู่ในทรงพุ่ม
- กิ่งนำซึ่งมักจะเจริญไปในทางด้านสูง ซึ่งจะทำให้ทรงพุ่มสูงขึ้น ควรจะทำการตัดเพื่อควบคุมทรงพุ่มให้มีการเจริญออกทางด้านกว้างมากกว่า เพื่อสะควกในการดูแลรักษา ตลอดจนการห่อผลและเก็บเกี่ยวผลผลิต
การใส่ปุ๋ย
การใส่ปุ๋ยให้ต้นกระท้อนควรใส่ให้ทั่วถึงบริเวณทรงพุ่ม เพื่อให้รากดูดซับธาตุอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรใช้ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอเป็นหลัก เช่น สูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 โดยใส่ในปริมาณไม่มาก แต่ให้ใส่บ่อยครั้ง เช่น ทุก 3 เดือน
เมื่อกระท้อนเริ่มให้ผลผลิตแล้ว ควรปรับสูตรปุ๋ยให้เหมาะกับระยะการเจริญเติบโต ดังนี้:
-
หลังเก็บเกี่ยวผลผลิต
ใส่ปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น 15-15-15 เพื่อฟื้นฟูความสมบูรณ์ของต้นกระท้อน -
ช่วงก่อนพักตัว
ใส่ปุ๋ยสูตร 9-24-24 หรือ 12-24-12 เพื่อช่วยในการสะสมอาหารและเตรียมสร้างตาดอกในฤดูถัดไป -
ระยะติดผลแล้วประมาณ 1 เดือน
ใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น 15-15-15 เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของผล -
ก่อนเก็บเกี่ยวผลผลิตอย่างน้อย 20 วัน
ใส่ปุ๋ยที่มีโปแตสเซียมสูง เช่น 13-13-21 เพื่อเพิ่มคุณภาพของผลให้เนื้อนุ่มและรสชาติหวานขึ้น
การใส่ปุ๋ยควรพิจารณาจากขนาดของทรงพุ่ม ความสมบูรณ์ของต้น และปริมาณผลผลิตในแต่ละปี เช่น ต้นกระท้อนอายุ 10 ปี ทรงพุ่มกว้างประมาณ 6 เมตร และให้ผลผลิตสม่ำเสมอ ควรใส่ปุ๋ยอย่างน้อยปีละ 8 กิโลกรัม แบ่งเป็น 4 ครั้ง (ครั้งละ 2 กก.) ตามสูตรที่แนะนำข้างต้น
สำหรับปุ๋ยคอก ควรใส่หลังเก็บผลผลิต โดยใส่ครั้งเดียวก็เพียงพอ อัตราการใส่ขึ้นอยู่กับชนิดของปุ๋ยคอก โดยต้นกระท้อนอายุ 10 ปี อาจใส่ได้ตั้งแต่ 25–50 กก./ต้น
การเก็บเกี่ยวผลผลิต
กระท้อนแต่ละพันธุ์จะเริ่มแก่ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม การสังเกตผลแก่สามารถดูได้หลายวิธี เช่น
นับอายุของผล
- พันธุ์เบา (เช่น ทับทิม เขียวหวาน ทับทิมทอง): อายุ 130–150 วันหลังดอกบาน
- พันธุ์หนัก (เช่น เทพรส ปุยฝ้าย อีล่า นิ่มนวล): อายุ 170–180 วันหลังดอกบาน
ดูจากลักษณะผล
เช่น เนื้อนุ่มขึ้น ความฝาดลดลง สีผิวเปลี่ยนเป็นเหลืองหรือน้ำตาล โดยเฉพาะที่ก้นผล หากปล่อยผลแก่ไว้นานเกินไป จะเกิดรอยสีน้ำตาลใต้ผล และอาจมีกลิ่นบูดคล้าย “น้ำหมาก” ทำให้ผลร่วงง่าย
การเก็บเกี่ยวสามารถใช้บันไดหรือพะองเพื่อขึ้นไปเก็บผล โดยใช้กรรไกรตัดที่ขั้วผล แล้วนำใส่ตะกร้า หรือใช้กรรไกรเก็บผลไม้แบบมีหนีบขั้วผลจะสะดวกยิ่งขึ้น หลังจากนั้นให้แกะวัสดุห่อผลออก คัดขนาด ทำความสะอาด และเตรียมจำหน่าย
เอกสารอ้างอิง
- โกศล เจริญสม, 2521. แมลงศัตรูไม้ผล. ภาควิชากีฏวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กทม.
- กรมวิชาการเกษตร, 2533. คำแนะนำการใช้สารฆ่าแมลงและสัตว์ศัตรูพืช ปี 2533. กองกีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร กทม.
- ทวีศักดิ์ ด้วงทอง, 2518. ชนิดและพันธุ์ไม้ผลเมืองไทย. เอกสารวิชาการที่ 47 กรมส่งเสริมการเกษตร จตุจักร กทม.
- วิจิตร วังใน, 2528. ชนิดและพันธุ์ไม้ผลเมืองไทย. ภาควิชาพืชสวน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กทม.
- วราพงษ์ ฤาชา, สถาพร ศรีพลพรรค, 2522. รายงานการศึกษาเรื่องสภาพการปลูกกระท้อนในจังหวัดนนทบุรี. งานพืชสวน ฝ่ายส่งเสริมและพัฒนาการผลิต สำนักงานส่งเสริมการเกษตร ภาคกลาง อ.สรรพยา จ.ชัยนาท
- สำนักงานเกษตรจังหวัดปราจีนบุรี, 2533. กระท้อน. เอกสารวันเกษตรปราจีนบุรี ปี 2533 ฝ่ายวิชาการ สำนักงานเกษตรจังหวัดปราจีนบุรี
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ