ไอเดีย! การผสมผสานปลูกผักและการเลี้ยงปลาด้วย ระบบอควาโปนิกส์ (Aquaponic)
ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับปัญหาทั้งด้านสิ่งแวดล้อม พื้นที่การเกษตรที่ลดน้อยลง และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น “การเกษตรแบบยั่งยืน” จึงกลายเป็นคำที่ได้รับความสนใจมากขึ้นในหมู่เกษตรกรและคนเมืองที่อยากปลูกผักกินเอง หนึ่งในแนวทางที่ตอบโจทย์ทั้งความยั่งยืน ความสะดวก และการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าที่สุด ก็คือ “ระบบอควาโปนิกส์ (Aquaponic)” ซึ่งเป็น การผสมผสานระบบปลูกผักและการเลี้ยงปลาเข้าด้วยกันอย่างชาญฉลาด
ระบบอควาโปนิกส์ (Aquaponic) คือการรวมข้อดีของ การปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ (ปลูกพืชโดยไม่ใช้ดิน) เข้ากับ การเลี้ยงปลาในระบบน้ำหมุนเวียน โดยใช้ของเสียจากปลาเป็นแหล่งธาตุอาหารให้กับพืช และในขณะเดียวกันพืชก็ช่วยกรองน้ำให้ปลาสะอาดกลับคืนไป เรียกได้ว่าเป็นระบบเกื้อหนุนกันอย่างสมดุล ช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมี ลดของเสียในน้ำ และลดต้นทุนในระยะยาว
ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีพื้นที่จำกัด เช่น ระเบียงบ้าน หรือผู้ที่มีพื้นที่สวนหลังบ้านกว้างขวาง ระบบ Aquaponic ก็สามารถปรับใช้ให้เหมาะสมได้ง่าย เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการสร้างอาหารปลอดภัยให้ครอบครัว หรือแม้แต่ต่อยอดเป็นธุรกิจขนาดเล็กก็ยังได้
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักแนวคิดเบื้องต้นของ การผสมผสานระบบปลูกผักและการเลี้ยงปลาด้วย ระบบอควาโปนิกส์ (Aquaponic) ว่าทำไมจึงน่าสนใจ ข้อดีที่ควรรู้ และไอเดียในการเริ่มต้นระบบนี้ด้วยตัวเองแบบเข้าใจง่าย พร้อมแนวทางต่อยอดสู่ความยั่งยืนในอนาคต
ระบบประกอบด้วยสองส่วนหลักคือ บ่อปลากับ แปลงปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์หลักการทำงานคือ เวลาเราเลี้ยงปลา จะมีของเสียจากปลา (เมื่อเลี้ยงไปนาน ๆ ต้องเปลียนน้ำ) ดังนั้นเราก็จะเอาน้ำเลี้งปลามาวนรดผัก พืชผักจะดูดของเสียเป็นปุ๋ย เป็นการช่วยบำบัดน้ำเสียให้ปลา ปลาก็จะปล่อยของเสีย รวมทั้งของเสียที่ตกค้างในระบบ จะถูกย่อยสลาย แล้วกลายเป็นสารอาหารสำหรับพืช ในระบบการเลี้ยงปลาปกติ เมื่อน้ำเสียก็ต้องถายน้ำเปลี่ยนน้ำใหม่ ในระบบการปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ เมือปลูกพืชไปนาน ๆ สารอาหารก็จะเปลียนแปลง สารบางตัวลดลงมาก บางตัวลดลงน้อย บางตัวเพิ่ม ทำให้ต้องเปลี่ยนสารละลายอาหารพืช
สิ่งเหล่านี้จะต้องทิ้งไป ทำให้เป็นภาระกับธรรมชาติจะต้องบำบัดของเสียเหล่านี้ และทำให้เปลืองน้ำ
Aquaponics แก้ปัญหาตรงนี้โดยเลียนแบบธรรมชาติ เอาของเสียจากระบบหนึ่งไปเป็นของดีอีกระบบหนึ่ง ระบบหมุนเวียนน้ำตลอด ทำให้พืชได้รับสารอาหารเต็มที่ตลอดเวลา ปลาได้รับการบำบัดจากพืชตลอดเวลาด้วยเช่นกัน
ข้อดี
- ลดการใช้น้ำ ลดน้ำเสีย ของการเลี้ยงปลาและปลูกผัก โดยปกติแล้วระบบ Aquaponics จะไม่มีการทิ้งน้ำเสียออกไปเลย มีแต่เติมน้ำเข้า อาจมีปล่อยน้ำเสียบ้างตอนที่คุมระบบไม่ได้ ต้องถ่ายน้ำออกป้องกันปลาตาย เรื่องการใช้น้ำนั้น บางเว็บบอกว่าใช้แค่ 1% ของการปลูกผักปกติ(อันนี้คงโม้) แต่ผมว่า ได้ 10%ก็หรูแล้ว ตัวเลขจริงน่าจะซัก 20-30%ของการปลูกปกติ
หมายเหตุ ข้อมูลฟรั่งซึ่งหนาวกว่าบ้านเรา บ้านเราร้อนพืชคายน้ำมากกว่า จากการสังเกตุคิดว่า น้ำที่หายไปส่วนใหญ่พืชดูดไปใช้เกือบหมด (เปรียบเทียบการระเหยกับถังน้ำที่ตังไว้เฉย ๆ )
- ใช้เนื้อที่น้อย ให้อัตราผลผลิตต่อพื้นที่ดีกว่า เพราะพืชได้น้ำและสารอาหารตลอดเวลา เลี้ยงปลาได้หนาแน่น เพราะมีการบำบัดน้ำตลอดเวลา บางเว็บบอกว่าได้ผักถึงสิบเท่าของการปลูกแบบปกติในพื่นที่เท่ากัน แต่ผมว่าซักสองสามเท่าน่าจะพอได้ แล้วแต่ชนิดของผักด้วย
- สามารถปลูกใกล้แหล่งบริโภคได้ ไม่ต้อขนใกล เนื่องจากระบบที่ใช้น้ำและพื้นที่น้อย การผลิตใกล้แหล่งบริโภคทำให้ลดการขนส่ง และบริโภคได้สดกว่า เช่น ถ้าทำระบบในครัวเรื่อน ทำให้ไม่ต้องซื้อ ไม่ต้องขับรถไปซื้อของสด ไม่ต้องแช่เย็น และกินได้อาหารสดกว่ามาก
- ลดการใช้สารเคมี เนื่องจากพื้นที่น้อยการลงทำโรงเรือนเพื่อป้องกันโรคแมลงทำได้ง่ายกว่า
ข้อเสีย
- ลงทุนสูง
- ต้องใช้พลังงานโดยเฉพาะไฟฟ้า
- ระบบที่เลี้ยงปลาหนาแน่นมาก อาจต้องมีระบบสำรองไฟฟ้า
- ต้องเรียนรู้หลายอย่าง ในการดำเนินระบบ ต้องรู้จักพืช สัตว์ และงานช่างหลายแขนง (นี่อาจเป็นข้อดี เพราะมันสนุกมากเลย) สั้น ๆ คือทำยากกว่า ปลูกผัก หรือ เลี้ยงปลา เดี่ยว ๆ ในแง่การเรียนรู้ แต่ในแง่การเดินระบบ ถ้าศึกษาจนรู้แล้ว Aquaponics ทำงานได้ง่ายกว่าสะดวกกว่า
- ระบบเป็นการ ประณีประณอม ระหว่าการเลื้ยงสัตว์กับพืช ทำให้อาจได้ได้ผลผลิตมากอย่างระบบที่แยกกันผลิต โดยทั่วไป ผู้เลี้ยงจะต้องตัดสินใจว่า จะเน้นพืช หรือ ปลา จะเอาทั่งสองอย่างเป็นเรื่องยาก
- กำจัดโรคแมลงยากกว่า เช่นถ้าปลาเป็นโรค ถ้าเลี้ยงปลาอย่างเดียวให้ยาฆ่าเชื้อได้เลย แต่ระบบนี้ทำไม่ได้ เพราะระบบแอควาโปนิกส์ต้องการจุลินทรีย์ในการเปลี่ยนของเสีย
Credit : http://www.monmai.com
บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ