อาหารเป็ดไข่ลดต้นทุน ทางเลือกเพื่อเกษตรกร

อาหารเป็ดไข่ลดต้นทุน ทางเลือกเพื่อเกษตรกร

อาหารเป็ดไข่ลดต้นทุน

การเลี้ยงเป็ดไข่เป็นอาชีพที่มีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะค่าหัวอาหารที่เป็นต้นทุนหลัก ทำให้เกษตรกรหลายคนประสบปัญหาด้านการเงิน บางรายถึงกับต้องเลิกเลี้ยงเป็ดเพราะรับภาระค่าอาหารไม่ไหว ดังนั้น การหาแนวทางลดต้นทุนอาหารเป็ดไข่จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการช่วยให้เกษตรกรลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มกำไร ในบทความนี้เราเลยจะมาแนะนำ อาหารเป็ดไข่ลดต้นทุน เพื่อให้ประหยัดต้นทุนกันครับ

หลักการลดต้นทุนอาหารเป็ดไข่

เมื่อนำเป็ดสาวมาเลี้ยง ควรให้อาหารสำเร็จรูปเต็มที่ก่อน เพราะเป็ดสาวต้องได้รับสารอาหารครบถ้วนเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและออกไข่สม่ำเสมอ โดยปกติแล้ว เป็ดสาวจะกินอาหารประมาณ 120-150 กรัมต่อตัวต่อวัน เมื่อเป็ดเริ่มออกไข่ที่อัตรา 60% ขึ้นไป จึงสามารถเริ่มเสริมอาหารลดต้นทุนแทนที่หัวอาหารบางส่วนได้ เพื่อให้ยังคงมีผลผลิตไข่ที่ต่อเนื่องและลดค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหารสำเร็จรูป

วัตถุดิบอาหารลดต้นทุนสำหรับเป็ดไข่

  • แหนแดง   แหล่งโปรตีนจากธรรมชาติ
  • รำละเอียด   ให้พลังงานและเสริมไฟเบอร์
  • ต้นกล้วยสับ   มีน้ำและไฟเบอร์สูง ช่วยเรื่องการย่อยอาหาร
  • ผักบุ้งสับ  อุดมไปด้วยวิตามิน
  • ไส้เดือนหรือหอยเชอรี่   โปรตีนเสริม (เลือกใช้ตามความสะดวก)
  • หญ้าสด  ให้สารอาหารจากธรรมชาติ
  • กากข้าวโพด   แหล่งพลังงานราคาประหยัด
  • มันหมักยีสต์   ช่วยเพิ่มคุณค่าทางอาหาร
  • พืชผักอื่นๆ ที่หาได้ประจำวัน

วิธีให้อาหารลดต้นทุน

  • ควรให้วัตถุดิบชนิดเดิมอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เช่น ถ้าให้ต้นกล้วยสับก็ควรให้ต้นกล้วยสับทุกวัน ไม่ควรเว้น เพราะอาจส่งผลต่อการออกไข่
  • เสริมวิตามินรวมเพื่อป้องกันภาวะขาดวิตามิน และช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานดีขึ้น
  • ควรแบ่งรอบการให้อาหาร เช่น
    • เช้าและเย็น – ให้หัวอาหารสำเร็จรูป
    • เที่ยง – ให้เป็นอาหารลดต้นทุน

การจัดตารางอาหารแบบนี้จะช่วยให้เป็ดได้รับสารอาหารครบถ้วน และยังสามารถออกไข่ได้ดีเหมือนเดิม

สูตรอาหารเป็ดไข่จากหยวกกล้วย

วัสดุและอุปกรณ์

  • หยวกกล้วยสับละเอียด 100 กก.
  • กากน้ำตาลหรือน้ำตาลทรายแดง 3 กก.
  • เกลือ 1 กก.

วิธีทำ

  1. นำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน
  2. หมักไว้ 5-7 วัน
  3. เมื่อนำมาใช้ ให้ผสมกับ:
    • รำละเอียด 10%
    • ปลายข้าว 5%
    • น้ำหมัก 3-5 ช้อนโต๊ะ
  4. สามารถนำไปเลี้ยงเป็ดและไก่ได้ ช่วยให้สัตว์แข็งแรง ลดกลิ่นมูล และเพิ่มอัตราการออกไข่

หากต้องการบำรุงเป็ดให้ไข่ดกและฟองโต สามารถเพิ่ม:

  • ต้นกล้วยหมัก 1 กก.
  • หัวอาหารสำเร็จรูป 5 กก.
  • รำละเอียด 5 กก.
  • น้ำหมักผลไม้สุกหรือน้ำหมัก EM 3 ช้อนแกง

หมักส่วนผสมทั้งหมดไว้ 1 คืนก่อนนำไปให้เป็ดกิน ซึ่งจะช่วยให้เป็ดออกไข่ได้มากขึ้น และลดต้นทุนค่าอาหารได้อย่างดี

การนำสูตรอาหารลดต้นทุนมาใช้ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยยังคงให้ผลผลิตไข่ที่มีคุณภาพดี และช่วยให้การเลี้ยงเป็ดไข่มีความยั่งยืนมากขึ้น

แหล่งที่มา: ฟาร์มไก่ไข่พัชรี มุกดาหาร | https://www.sarakaset.com/สูตรอาหารเป็ดไข่ลดต้นทุน


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์ คืออะไร? ทำไมคนรักสุขภาพต้องลอง!

กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์ คืออะไร? ทำไมคนรักสุขภาพต้องลอง!

กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์

รู้จักกับ กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์

กระเจี๊ยบแดง (Roselle) เป็นพืชสมุนไพรที่ได้รับความนิยมมานาน มีดอกสีแดงเข้มที่สามารถนำมาใช้ทำเครื่องดื่ม สมุนไพร และผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ ส่วนกระเจี๊ยบแดงอินทรีย์ คือกระเจี๊ยบแดงที่ปลูกแบบปราศจากสารเคมีและสารสังเคราะห์ใด ๆ ตั้งแต่ขั้นตอนเพาะปลูกไปจนถึงการเก็บเกี่ยว ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าแบบทั่วไป

คุณประโยชน์ของกระเจี๊ยบแดงอินทรีย์ที่ไม่ควรพลาด

  • ช่วยลดความดันโลหิต  กระเจี๊ยบแดงมีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยลดระดับความดันโลหิต เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพหัวใจ
  • ลดไขมันในเลือด   มีงานวิจัยระบุว่าการดื่มน้ำกระเจี๊ยบแดงเป็นประจำสามารถช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) และเพิ่มไขมันดี (HDL) ได้
  • ช่วยระบบขับถ่าย  กระเจี๊ยบแดงมีใยอาหารสูง มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้ขับถ่ายสะดวกขึ้น
  • ต้านอนุมูลอิสระ  บำรุงผิวพรรณ  มีวิตามินซีและสารโพลีฟีนอลที่ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ผิว ทำให้ผิวกระจ่างใสและดูอ่อนเยาว์
  • ขับปัสสาวะ ลดบวม  กระเจี๊ยบแดงช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ลดอาการบวมน้ำ และช่วยบรรเทาอาการอักเสบได้

ทำไมต้องเลือกกระเจี๊ยบแดงอินทรีย์?

  • ปลอดภัยจากสารเคมี   ไม่มีสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและปุ๋ยสังเคราะห์ ปลอดภัยต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
  • มีคุณค่าทางสารอาหารสูงกว่า   การปลูกแบบอินทรีย์ช่วยรักษาคุณค่าของสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระได้มากกว่าการปลูกทั่วไป
  • รักษาสิ่งแวดล้อม  ไม่ทำให้ดินและน้ำปนเปื้อน ลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ

วิธีดื่มกระเจี๊ยบแดงอินทรีย์ให้ได้ประโยชน์สูงสุด

  • ชงชา  นำดอกกระเจี๊ยบแห้งมาต้มกับน้ำร้อน เติมน้ำผึ้งหรือมะนาวเพื่อเพิ่มรสชาติ
  • น้ำกระเจี๊ยบเย็น  ต้มดอกกระเจี๊ยบกับน้ำ ใส่ใบเตยเพิ่มความหอม ดื่มเย็นสดชื่น
  • สมูทตี้สุขภาพ  ผสมกระเจี๊ยบแดงต้มกับผลไม้ เช่น เบอร์รี่หรือส้ม เพิ่มความอร่อยและคุณค่าสารอาหาร

กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์ไม่ใช่แค่เครื่องดื่มเพื่อความสดชื่น แต่เป็นสมุนไพรที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์ คนรักสุขภาพไม่ควรพลาด! ถ้าอยากดูแลตัวเองแบบปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ ลองเปลี่ยนมาดื่มกระเจี๊ยบแดงอินทรีย์ รับรองว่าได้สุขภาพดีแน่นอน

ความรู้เพิ่มเติม เกี่ยวกับ ขั้นตอนการปลูกกระเจี๊ยบแดงอินทรีย์

1. การเตรียมดิน

สำรับการเพาะปลูกกระเจี๊ยบนั้น ขั้นตอนการเตรียมดินนั้นถือว่ามีความสำคัญไม่น้อยเลยทีเดียว ควรเลือกดินร่วนปนทรายที่ระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง โดยการไถดินให้ร่วนซุย ตากดินไว้ 7-10 วัน เพื่อลดเชื้อโรคและศัตรูพืช แล้วเติมปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยพืชสดเพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้ดิน

2. การเตรียมเมล็ดพันธุ์

เมื่อเราเตรียมดินเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มาถึงขึ้นตอนการเลือกเมล็ดพันธุ์กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์ที่แข็งแรง ไม่มีเชื้อรา เมื่อเราได้เมล็ดแล้วให้เรานำมาแช่ในน้ำอุ่น 24 ชั่วโมง ก่อนปลูก เพื่อกระตุ้นการงอก แล้วนำลงเพราะปลูกในทาดชำ เมล็ดงอกแล้ว คัดเลือกเฉพาะต้นที่แข็งแรง

กระเจี๊ยบแดงอินทรีย์

3. การเพาะปลูก

ขุดหลุมปลูกลึกประมาณ 2-3 เซนติเมตร ระยะห่างแต่ละต้น 50-80 ซม. แล้วนำหยอดเมล็ดลงหลุม 2-3 เมล็ดต่อหลุม หรือ นำต้นกล้าลงปลูกก็ได้ แล้วกลบด้วยดินบาง ๆ รดน้ำให้ชุ่ม แต่ไม่แฉะจนเกินไป

4. การดูแลรักษา

  • แสงแดด   กระเจี๊ยบแดงต้องการแสงแดดเต็มที่ ควรปลูกในที่โล่ง
  • การรดน้ำ   รดน้ำวันละครั้งในช่วงเช้า อย่าให้น้ำขัง เพราะอาจทำให้รากเน่า
  • การใส่ปุ๋ย   ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ ทุก 2-3 สัปดาห์
  • การป้องกันศัตรูพืช   ใช้วิธีธรรมชาติ เช่น ปลูกพืชไล่แมลง (โหระพา ตะไคร้) หรือฉีดพ่นน้ำสกัดชีวภาพจากสะเดา

5. การเก็บเกี่ยว

กระเจี๊ยบแดงใช้เวลาปลูกประมาณ 4-5 เดือน โดยสังเกตได้จากดอกและกลีบเลี้ยงที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มและเริ่มแข็งตัว การเก็บจะใช้กรรไกรตัดดอกแล้วนำไปตากแห้งหรือนำไปแปรรูปตามต้องการ เพื่อจำหน่ายต่อไป

การปลูกกระเจี๊ยบแดงอินทรีย์ไม่ยาก แค่ใส่ใจตั้งแต่การเตรียมดิน เลือกเมล็ดพันธุ์ ดูแลรักษาด้วยวิธีธรรมชาติ และเก็บเกี่ยวให้ถูกเวลา ก็จะได้ผลผลิตที่ดี ปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

5 แอปพลิเคชันเช็กฝุ่น PM 2.5 ที่คนไทยต้องมี

5 แอปพลิเคชันเช็กฝุ่น PM 2.5 ที่คนไทยต้องมี

5 แอปพลิเคชันเช็กฝุ่น PM 2.5 ที่คนไทยต้องมี

ปัญหาฝุ่น PM 2.5 กลายเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในชีวิตประจำวันของคนไทย โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่ค่าฝุ่นละอองมักพุ่งสูงเกินมาตรฐาน การมีแอปพลิเคชันที่ช่วยตรวจสอบคุณภาพอากาศและค่าฝุ่น PM 2.5 แบบเรียลไทม์จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการวางแผนชีวิตและการดูแลสุขภาพของเรา ในบทความนี้เราจะมาแนะนำ 5 แอปพลิเคชันเช็กฝุ่น PM 2.5 ที่คนไทยต้องมี ติดมือถือไว้ พร้อมรายละเอียดเกี่ยวกับความสามารถของแต่ละแอปพลิเคชัน

1. AirVisual

AirVisual เป็นหนึ่งในแอปพลิเคชันยอดนิยมสำหรับการตรวจสอบคุณภาพอากาศทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วย มีฟีเจอร์เด่นดังนี้:

  • ตรวจสอบค่าฝุ่น PM 2.5 และ AQI (Air Quality Index): ให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์พร้อมการเปรียบเทียบกับมาตรฐานของแต่ละประเทศ
  • พยากรณ์คุณภาพอากาศ: สามารถดูค่าฝุ่นล่วงหน้าได้ถึง 7 วัน
  • แผนที่คุณภาพอากาศ: แสดงจุดตรวจวัดค่าฝุ่น PM 2.5 ในบริเวณใกล้เคียง
  • คำแนะนำด้านสุขภาพ: บอกวิธีป้องกันตัวเองในวันที่ค่าฝุ่นสูง

เหมาะสำหรับ: คนที่ต้องการข้อมูลละเอียด ครอบคลุม และใช้ภาษาอังกฤษได้ดี

2. Air4Thai

Air4Thai เป็นแอปพลิเคชันจากกรมควบคุมมลพิษของประเทศไทย พัฒนาเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ จุดเด่นของแอปนี้คือ:

  • ข้อมูลคุณภาพอากาศจากสถานีวัดทั่วประเทศ: อัปเดตข้อมูลโดยตรงจากกรมควบคุมมลพิษ
  • แสดงค่าฝุ่นละออง PM 2.5 และ PM 10: พร้อมเปรียบเทียบกับมาตรฐานในประเทศไทย
  • การแจ้งเตือน: ระบบแจ้งเตือนเมื่อค่าฝุ่นเกินมาตรฐาน
  • อินเทอร์เฟซใช้งานง่าย: เหมาะสำหรับผู้ใช้ทุกเพศทุกวัย

เหมาะสำหรับ: คนไทยที่ต้องการข้อมูลที่เชื่อถือได้ในภาษาไทย

3. Plume Labs : Air Report

Plume Labs: Air Report เป็นแอปพลิเคชันที่มีดีไซน์สวยงาม ใช้งานง่าย และมีข้อมูลที่น่าสนใจ:

  • แสดงค่ามลพิษในแต่ละช่วงเวลา: ช่วยให้คุณวางแผนกิจกรรมกลางแจ้งได้อย่างเหมาะสม
  • ระบบพยากรณ์คุณภาพอากาศ: แจ้งข้อมูลล่วงหน้าสำหรับพื้นที่ที่คุณสนใจ
  • คำแนะนำเชิงปฏิบัติ: เช่น ควรออกกำลังกายเวลาไหน หรือควรป้องกันอย่างไร

เหมาะสำหรับ: คนที่ชอบการออกแบบเรียบง่ายแต่ครบถ้วน พร้อมฟีเจอร์การวางแผนล่วงหน้า

4. IQAir

IQAir เป็นแอปพลิเคชันที่เน้นความแม่นยำและข้อมูลแบบเรียลไทม์ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีปัญหามลพิษสูง:

  • แผนที่คุณภาพอากาศแบบอินเทอร์แอคทีฟ: สามารถเลือกดูพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลก
  • ข้อมูลมลพิษในแต่ละพื้นที่: รวมถึงค่าฝุ่น PM 2.5, PM 10, และก๊าซพิษอื่น ๆ
  • การแจ้งเตือนส่วนตัว: สามารถตั้งค่าให้แจ้งเตือนเมื่อค่าฝุ่นสูงในพื้นที่ที่คุณอยู่

เหมาะสำหรับ: คนที่ต้องการข้อมูลคุณภาพอากาศที่ละเอียดและทันสมัย

5. BreezoMeter

BreezoMeter เป็นอีกหนึ่งแอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยม เน้นข้อมูลที่ใช้งานง่ายและคำแนะนำเชิงสุขภาพ:

  • แสดงค่าคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์: พร้อมการพยากรณ์ล่วงหน้า
  • คำแนะนำเฉพาะบุคคล: แจ้งว่าคุณควรทำอะไรในวันที่ค่าฝุ่นสูง เช่น หลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านหรือใส่หน้ากาก
  • รายงานคุณภาพอากาศเป็นภาพกราฟิก: ทำให้ดูเข้าใจง่าย

เหมาะสำหรับ: คนที่ต้องการคำแนะนำเชิงสุขภาพที่เข้าใจง่ายและตรงประเด็น

สรุป

ทั้ง 5 แอปพลิเคชันที่แนะนำนี้มีจุดเด่นและความสามารถที่แตกต่างกันออกไป คุณสามารถเลือกใช้แอปพลิเคชันที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคุณที่สุด เช่น หากคุณต้องการข้อมูลในภาษาไทย ควรเลือก Air4Thai แต่หากคุณต้องการข้อมูลที่ครอบคลุมทั้งโลก AirVisual หรือ IQAir อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม อย่าลืมว่าการติดตามค่าฝุ่น PM 2.5 เป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้เราสามารถดูแลสุขภาพและวางแผนชีวิตในแต่ละวันได้อย่างปลอดภัย


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

การปลูกผักลอยแพ สนุก สด ใหม่ สไตล์คนติดน้ำ

การปลูกผักลอยแพ สนุก สด ใหม่ สไตล์คนติดน้ำ

การปลูกผักลอยแพ

ลองนึกภาพตามนะครับ เรานั่งอยู่ริมน้ำ มองดูแพที่ลอยอยู่บนผิวน้ำอย่างสบายใจ แล้วบนแพนั้น แทนที่จะเป็นแค่พื้นไม้เปล่าๆ กลับมีผักสดๆ เขียวๆ งอกงามอยู่เต็มไปหมด ทั้งผักบุ้ง คะน้า หรือผักสลัด ดูแล้วสดชื่น สบายตา แถมยังน่ากินอีกด้วย นี่แหละครับเสน่ห์ของ การปลูกผักลอยแพ

การปลูกผักแบบนี้ไม่ได้ยากอย่างที่คิด แถมยังเหมาะกับหลายๆ คนเลยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ มีพื้นที่จำกัด หรือแม้แต่คนที่อยากลองทำเกษตรแบบใหม่ๆ ที่ดูน่าสนใจ การปลูกผักลอยแพก็เป็นทางเลือกที่ดี

คุณฮวด ไม้เนื้อทองชาวหมู่บ้านราชธานีอโศก ตำบลนุ่งไหม อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี ได้ทดลองทำแพปลูกผักผัก เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้ไม่มีที่ดินเพาะปลูก ซึ่งคุณฮวดฯ ได้ลองผิดลองถูกหลายวิธี สำหรับการทำแพปลูกผักผักจนได้แพปลูกผักที่มีอายุการใช้งานได้หลายปี

วัสดุทำแพปลูกผัก

  • เศษโฟม ขนาดต่างๆ
  • ไม้ไผ่
  • สแลน
  • ถุงปุ๋ยและเข็มเย็บกระสอบ
  • เชือกพลาสติก
  • ผักตบชวาหรือพืชน้ำย่อยสลายง่าย
  • ดินและปุ๋ยอินทรีย์

ขั้นตอนในการทำแพ

  • นำเศษโฟมขนาดใดก็ได้มาหักให้เป็นชิ้นเล็กนำมาอัดลงในกระสอบปุยเหมือนลักษณะนำนุ่นมายัดหมอน เทคนิคพิเศษ ควรหาโฟมที่มีความยาวและความกว้างมาวางเป็นโครงตั้งรอบกระสอบปุยในลักษณะ 5 หรือ 6 เหลี่ยม ซึ่งสามารถลอยน้ำได้ดีกว่า 4 เหลี่ยม จากนั้นนำโฟมขนาดพอดีกับปากกระสอบปุ๋ยมาวาง ใช้เข็มเย็บกระสอบสานและเย็บเชือกปิดปากถุงจะได้ทุนกระสอบโฟม
  • นำสแลนแบบหนาขนาดมาตรฐานมาช้อนกัน 2 ผืน จากนั้นเย็บเป็นช่องโดยแต่ละช่องจะใส่ทุ่นกระสอบได้ 4 ทุ่น
  • นำไม้ไผ่มาวางพาด ตามข้างๆ เป็นโครงการตามรองของทุ่นกระสอบแล้วมัดยึดกับทุ่นโฟมจะได้รูปร่างเป็นแพลอยน้ำ
  • นำผักตบชวามาใส่บนแพ ให้คนย่ำไปมาอัดผักตบชวาในแน่น จนได้ความหนาประมาณ 50 เซนติเมตร หรือมากกว่านี้ก็ได้ เมื่อหนาได้ตามขนาดที่ต้องการ จึงใช้มีดสับใบและก้านของผักตบชวา เพื่อเวลาใส่ดินและปุ๋ยรองพื้นดินจะแน่นไม่ไหลหนี
  • เตรียมดิน นำดินคลุกกับปุ๋ยอินทรีย์หรือจะนำดินปลูกก็ได้ใส่ลงในผักตบชวาจากนั้นก็สามารถปลูกพืชผักได้ตามต้องการ จากการทดลองปลูกแล้วได้ผลผลิตที่ดี คือ พืชผักสวนครัวทุกชนิด เช่น ผักบุ้ง มะเขือเทศ โหรพา ใบแมงลัก แต่งกว่า ถั่ว ฟักทอง และอีกหลายชนิด ถ้าอยากให้ได้ผลผลิตที่ดียิ่งขึ้น ควรจะนำน้ำน้ำหมัก จุลินทรีย์มารดก็จะช่วยให้ผลผลิตงามมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้สามารถปลูกข้าวได้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจทั้งข้าวเหนียว ข้าวเจ้า ข้าวหอมมะลิและอีกหลายสายพันธุ์

ข้อดี

ไม่ต้องลงทุนสูง ไม่ต้องรดน้ำ ประหยัดเวลา เงิน และพลังงาน อีกทั้งยังอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ช่วยกำจัดโฟม และผักตบชวา โดยเฉพาะสามารถลากแพไปทุกที่ตามที่ต้องการได้ และยังสามารถสร้างกระท่อมเล็กๆ อาศัยได้

การทำแพปลูกผัก หวังว่าเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับผู้ที่ประสบปัญหาอุทกภัยและเดือดร้อนในเรื่องพื้นที่สำหรับเพาะปลูกอยู่ในขณะนี้

แหล่งข้อมูล : ชุมชนราชธานีอโศก 99 หมู่ 10 หมู่บ้านราชธานีอโศก ตำบลปุงไหม อำเภอวารินชำราบจังหวัดอุบลราชธานี 34190 โทรศัพท์ 0-4524-0584-5, 08-4960-665, 08-5008-6174 โทรสาร 0-4532-3360 E-mail address: banraj2004@yahoo.com


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

สูตรน้ำยาไล่นกพิราบ ใช้ได้ผลดีต้องลอง!!

สูตรน้ำยาไล่นกพิราบ ใช้ได้ผลดีต้องลอง!!

สูตรน้ำยาไล่นกพิราบ

หลายๆ บ้านที่อยู่ในพื้นที่ ที่มีนกพิราบอาศัยอยู่จำนวนมากนั้น จะรู้ดีว่าบ้านที่เคยสงบและสะอาดนั้นจะเปลี่ยนเป็นบ้านนกพิราบไปแล้ว ด้วยนกพิราบร้องเสียงดัง สร้างความเบื่อหน่ายแถมยังขี้เลอะเทอะเต็มบ้านไปหมด สร้างความเดือดร้อนเป็นอันมาก วันนี้เราเลยหา สูตรน้ำยาไล่นกพิราบ ใช้ได้ผลหายไปนานจนลืม มาฝากกันครับ

เตรียมวัสดุอุปกรณ์ดังต่อไปนี้

1. ผงซักฟอก 2 ช้อนโต๊ะ
2. ไฮเตอร์ 3 ช้อนโต๊ะ (มีกลิ่นแรงติดทนนาน)
3.น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ
4.น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
5.เกลือ 1ช้อนโต๊ะ
6. น้ำสะอาด 1- 2 ลิตร

วิธีทำ

ผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ใส่สเปย์ที่ฉีดพ่นไปฉีดจุดที่มีนกพิราบอยู่แนวรั้ว
😲สำคัญ นำสูตรนี้ใส่ปืนฉีดน้ำไป ฉีดบริเวณนกพิราบอยู่ ฉีดที่หลังคา ซึ่งข้อดีของการใส่ปืนฉีดน้ำนั้น จะยิงไปได้ไกลยิงโดนนกพิราบแม่นยำมากโดนจุดที่นกพิราบอยู่ หรือ อาจจะนำสูตรนี้ใส่ไปในถุง ปาขึ้นหลังคา ให้ถุงแตก ไล่นกพิราบดีมาก กลิ่นจะติดทนอยู่บนหลังคานานมาก

เทคนิคไล่นกพิราบหลายคนไม่รู้!!!
📌ไล่นกพิราบต้องไล่ตอนเย็นๆ ค่ำค่ำ ซึ่งนิสัยนกพิราบจะบินกลับบ้านตอนค่ำให้ฉีดไล่นกพิราบ เน้นไล่ตอนค่ำค่ำ เพื่อไม่ให้นกพิราบกลับมานอน อาศัยอีกต่อไป ทำตามนี้เลยเห็นผลจริง

Cr.รูปภาพ วิชา วันนี้


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

แนวทางการเลือกซื้อที่ดิน เพื่อทำการเกษตรสำหรับมือใหม่

แนวทางการเลือกซื้อที่ดิน เพื่อทำการเกษตรสำหรับมือใหม่

แนวทางการเลือกซื้อที่ดิน
สำหรับคนที่อยากจะเริ่มทำการเกษตร กำลังมองหาซื้อที่ดินสักแปลง คงต้องพิจารณาปัจจัยโดยรอบให้ดี เพราะหลายๆปัจจัยมีผลต่อการเกษตรของเราทั้งเรื่องของต้นทุนต่างๆอีกทั้งผลผลิตที่ตามมา ดังนั้นการเลือกที่ดินดูที่ดินให้เข้าใจนั้นถือว่าสำคัญในการเริ่มต้นเป็นอย่างมาก

1. ในที่ดินจะต้องมีแหล่งน้ำหรือติดกับแหล่งน้ำที่สามารถนำมาใช้ได้ทั้งปี เพราะการซื้อที่ดินที่ไม่มีน้ำ ก็เท่ากับไม่มีประโยชน์ในเชิงเกษตร แหล่งน้ำที่ว่านี้อาจจะเป็นคลองชลประทาน อ่างเก็บน้ำ คลองธรรมชาติ แม่น้ำ ฯลฯ ถ้าเป็นที่ดินแปลงใหญ่ไม่ควรพึ่งพาแหล่งน้ำจากน้ำบาดาลเป็นหลัก เพราะอาจมีปริมาณไม่พอเพียงและอาจจะทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับการจัดการตะกอนในภายหลัง

2. ที่ตั้งของที่ดินนั้นควรใกล้กับถนนหนทางและไม่ไกลจากที่อยู่อาศัยประจำของคุณมากนัก การเดินทางไปมาสะดวก โดยเฉพาะเกษตรกร part-time ที่ต้องทำงานในวันธรรมดาและไปทำสวนได้เฉพาะวันหยุด อย่างไรก็ตามปัจจัยเรื่องระยะทางนี้ขึ้นกับทุนและความชอบส่วนบุคคล นอกจากนี้ราคาน้ำมันที่ต้องใช้จ่ายในการเดินทางไปกลับก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกด้วย

3. ที่ดินควรใกล้ตลาดหรือชุมชน หรือผู้ซื้อรายใหญ่ เพื่อที่จะสามารถขนส่งผลผลิตเพื่อจำหน่ายได้โดยง่าย (หากคิดจะปลูกเพื่อจำหน่าย) เพราะระยะทางในการขนส่งหากไกลหรือไม่ตรงตามที่ตลาดต้องการ ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น

4. เพื่อนบ้านและสังคมที่ดี ก่อนซื้อที่ดินควรลองไปสำรวจดูว่าเพื่อนบ้านมีอัธยาศัยเป็นอย่างไร หรือลองไปถามสถานีตำรวจในพื้นที่ดูว่ามีคดีลักขโมยมากน้อยเพียงใด รวมทั้งผู้ใหญ่บ้าน กำนัน เพื่อประกอบการตัดสินใจ

5. ลองสังเกตในที่ดินด้วยว่ามีต้นไม้ที่ขึ้นในที่ดินนั้นเป็นต้นอะไร เพื่อจะได้ทราบว่าที่ดินผืนนั้นเพาะปลูกผลไม้ชนิดใดได้ดีที่สุด บางคนไปซื้อที่ดินที่เตียนโล่งแม้แต่หญ้าก็ไม่ขึ้น แล้วมาดีใจว่าไม่ต้องถางหญ้าปรับที่ดิน ซึ่งแท้ที่จริงเป็นดินเค็มที่เพาะปลูกอะไรไม่ได้

6. ที่ดินทำสวนเกษตรส่วนใหญ่ควรเป็นพื้นที่ราบไม่ควรเป็นที่น้ำท่วมขัง หากเป็นที่ลาดชันเวลารดน้ำต้นไม้ น้ำจะไหลลงเบื้องล่างหมด หากต้องทำขั้นบันไดก็จะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่าที่ดินผืนราบ แต่หากจะปลูกไม้ยืนต้นพวกไม้ป่า ก็เป็นที่เนินเขาได้ ทั้งนี้ขึ้นกับพืชที่เลือกจะปลูก

7. อย่ามองข้ามค่าปรับปรุงที่ดิน ทั้งเรื่องของการขุดร่อง ขุดแนว ปรับหน้าดิน รวมทั้งถนนหนทาง หากเป็นที่ดินที่ซื้อร่วมกับคนอื่น ควรตกลงกันให้แน่ชัดตั้งแต่แรกว่าค่าใช้จ่ายต่างๆ จะร่วมกันรับผิดชอบอย่างไร ค่าโอนที่ดิน ค่าสาธารณูปโภค ฯลฯ นอกจากนี้ถนนที่จะตัดเข้าไปยังที่ดินของแต่ละคนจะตกลงค่าใช้จ่ายและกรรมสิทธิ์กันอย่างไร การจะหาที่ดินเพื่อทำการเกษตรนั้นเราต้องดูด้วยว่า เราจะปลูกอะไร แบบไหน เน้นเพื่อจำหน่าย หรือเพื่อบริโภคเอง เพื่อจะได้มีเป้าหมายที่ชัดเจนและเลือกที่ดินได้อย่างคุ้มค่า

หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์สำหรับมือใหม่ที่สนใจเลือกซื้อที่ดินเพื่อทำการเกษตรนะครับ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ครับ


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

แพะที่เลี้ยงในประเทศไทย มีพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงอะไรบ้าง

แพะที่เลี้ยงในประเทศไทย มีพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงอะไรบ้าง

แพะที่เลี้ยงในประเทศไทย

สวัสดีครับวันนี้ผมจะมาอธิบายพันธุ์ แพะที่เลี้ยงในประเทศไทย กันนะครับ ว่ามีสายพันธุ์ที่นิยมมเลี้ยงอะไรบ้าง ในประเทศไทยมีการเลี้ยงแพะหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งสายพันธุ์พื้นเมืองและสายพันธุ์ต่างประเทศ ซึ่งแต่ละสายพันธุ์ก็มีลักษณะเด่นและวัตถุประสงค์ในการเลี้ยงที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1. พันธุ์แพะพื้นเมือง

มีหลากหลายสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นแถบตะวันตก จังหวัดตาก จังหวัดกาญจนบุรี ส่วนใหญ่จะเป็นแพะจากประเทศอินเดีย หรือปากีสถานมีรูปร่างใหญ่กว่าแพะทางใต้ พันธุ์แพะทางใต้ที่นิยมจะมีหลากหลายสายพันธุ์ พันธุ์แพะทางใต้จะคล้ายกับแพะพันธุ์กัตจัง พันธุ์แพะพื้นเมืองของประเทศมาเลเซีย จะมีลักษณะ สีน้ำตาล หรือน้ำตาลสลับดำ น้ำหนักตัวอยู่ที่ 20-25 กิโลกรัม แต่สายพันธุ์แพะพื้นเมืองนี้ ผลผลิตเนื้อและนมค่อนข้างต่ำ ทำให้มีการนำเข้าสายพันธุ์แพะจากเมืองนอกเข้ามาเลี้ยงและขยายพันธุ์ด้วย

2. พันธุ์แพะซาเนน (Saanen)

เรียกได้ว่าเป็นพันธุ์แพะนมที่ให้ปริมาณน้ำนมสูงมากกว่าพันธุ์แพะอื่น ๆ สายพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ขนสั้น บางตัวมีสีขาวครีม บางตัวมีน้ำตาลอ่อน หัวมีลักษณะแบน ดั้งจมูกลาดตรง ใบหน้าไม่โค้งงุ้ม ใบหูเล็ก และชี้ตั้งไปข้างหน้า ไม่มีเขาทั้งเพศผู้ เพศเมีย แต่ส่วนใหญ่การคัดเลือกพ่อพันธุ์ จะนิยมเลือกพ่อพันธุ์ตัวที่มีเขา มักจะพบการเป็นกระเทย ในพันธุ์แพะนี้ค่อนข้างสูง และยังมีอัตราออกลูกแฝดสูงอีกด้วย แพะตัวผู้มีน้ำหนักประมาณ 70-90 กิโลกรัม ตัวเมียหนักประมาณ 50-60 กิโลกรัม และที่สำคัญแพะพันธุ์ซาเนนให้น้ำนมประมาณวันละ 2 ลิตร ระยะเวลาการให้นมนานถึง 200 วัน ทำให้แพะพันธุ์ซาเนน ได้รับฉายาในกลุ่มแพะว่าเป็น “ราชินีแห่งแพะนม” แต่พันธุ์แพะนี้ มีปัญหาในเรื่องของการปรับตัวกับสภาพอากาศในประเทศไทยไม่ค่อยดีนัก ให้แนะนำเลี้ยงแบบล้อมคอก หรือ ล้อมรั้วไว้ตลอดเวลา เพื่อที่ปัญหาในการเจ็บป่วยจะได้น้อยลง และยังได้ผลผลิตที่ดีตามไปด้วย

3. พันธุ์แพะบอร์ (Boer)

เป็นสายพันธุ์แพะเนื้อ ได้รับฉายาว่าราชาแพะเนื้อ ที่ทางกรมปศุสัตว์ได้มีการนำเข้ามาจากประเทศแอฟริกาใต้ เรียกได้ว่าเป็นพันธุ์แพะที่มีโครงสร้างใหญ่และน้ำหนักดี มีลำตัวจะมีสีขาว หัวและคอจะมีสีแดง ใบหูยาวปรก มีน้ำหนักแรกเกิด 4 กิโลกรัม. ตัวโตเต็มที่ตัวผู้ น้ำหนัก 90 กิโลกรัม ตัวเมียน้ำหนัก 65 กิโลกรัม อัตราการเจริญเติบโตค่อนข้างเร็ว และแพะพันธุ์บอร์ยังสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้เก่งอีกด้วย

4.  พันธุ์แพะหลาวซาน (Laoshan)

เป็นแพะนมชั้นยอดของสาธารณรัฐประชาชนจีน พันธุ์แพะหลาวซานขึ้นชื่อเรื่อง การปรับตัวได้ดี เลี้ยงง่าย กินอาหารไม่เลือก มีความต้านทานต่อโรคค่อนข้างสูง ที่สำคัญเป็นพันธุ์ที่มีระยะการให้นม 8-10 เดือน โดยมีปริมาณการให้นมต่อระยะการให้นม ประมาณ 800 กิโลกรัม มีความสมบูรณ์พันธุ์ค่อนข้างสูงมาก โดยลักษณะรูปร่างของพันธุ์แพะหลาวซาน มีรูปร่างและลักษณะคล้ายๆกับพันธุ์แพะซานนพันธุ์แท้ ซึ่งลักษณะนิสัยทั่ว ๆ ไปของแพะนมหลาวซาน คือ กระฉับกระเฉง และร่าเริง โดยเฉพาะลูกแพะชอบที่จะปีนไปตามเขา และกระโดดตามพื้นที่ที่เป็นเนินเขา สูงต่ำ ฝาผนังคอกหรือหลังคาบ้านชอบที่จะอยู่ในบริเวณที่สะอาดและแห้ง และชอบรวมตัวกันเป็นฝูง สามารถกินพืชไร่และหญ้าได้หลายชนิด และที่เห็นได้ชัดคือลักษณะเด่นของปากแพะ คือ มีฟันที่คม และริมฝีปากบาง จึงชอบกินหญ้าที่มีลำต้นตั้งแต่สั้น ใบไม้ และกิ่งที่อ่อน

5. พันธุ์แพะแบล็คเบงกอล

เป็นแพะพื้นเมืองจากประเทศบังกลาเทศได้รับมาเลี้ยงในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2548โดยมูลนิธิชัยพัฒนา มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง นำไปเลี้ยงและขยายพันธุ์เพื่อเป็นประโยชน์แก่เกษตรกรเป็นแพะที่มีขนาดเล็ก สูงประมาณ 40-60 ซม. มีขนสั้นเป็นมันเงา ส่วนใหญ่มักจะเป็นสีดำ แต่อาจจะพบได้ทั้งสีน้ำตาลเข้ม สีขาว หรือสีเทาใบหูมีขนาดเล็กตั้งชี้ไปข้างหน้า ขนสั้น ละเอียดนุ่ม โตเต็มวัย จะมีความสูงที่หัวไหล่ประมาณ 40-46 ซม. น้ำหนักตัวผู้ 15 กก. ตัวเมีย 12 กก.
ลักษณะที่ไม่เหมือนแพะสายพันธุ์อื่น ตัวผู้และตัวเมียมีเคราและเขาเหมือนกันพบทั่วไปในบังกลาเทศและเขตเวสต์ เบงกอลของอินเดีย แม้จะมีขนาดเล็ก เพศผู้น้ำหนักตัวประมาณ 25 ถึง 30 กก. แต่โครงสร้างของร่างกายแน่น ขาสั้น

แพะแบล็คเบงกอลเลี้ยงดูแลง่าย กินอาหารได้หลากหลาย ทั้งหญ้า ไม้พุ่ม ไม้เลื้อย วัชพืชในเรือกสวนไร่นา วัสดุเศษเหลือจากการเกษตร ทำให้มีต้นทุนค่าอาหารต่ำ อีกทั้งเป็นสัตว์ที่ทนทานและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่างๆได้เป็นอย่างดี ทำให้แพะ สามารถเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว
จุดเด่นสายพันธุ์นี้ มีความสมบูรณ์พันธุ์สูง การเจริญเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่มสาวเร็วมาก อายุ 15-16 เดือน สามารถผสมพันธุ์ ได้แล้ว ตั้งท้องเพียง 150 วัน เมื่อตกลูกมักจะออกแฝด 2 ถึง 4 ตัว และยังผสมพันธุ์ได้ทั้งปี ข้อดี…เนื้อมีคุณภาพดี รสชาติดี หนัง มีราคาแพง จึงเลี้ยงเพื่อผลิตเนื้อและหนังเป็นหลัก แต่มีข้อด้อย…ให้น้ำนมค่อนข้างน้อย

6. พันธุ์แพะแองโกลนูเบียน (Anglo-Nubian)

เป็นแพะสายพันธุ์นี้นิยมเลี้ยงทั้งแพะเนื้อและแพะนม พันธุ์แพะนี้ทางกรมปศุสัตว์ได้นำมาเลี้ยงและขยายพันธุ์ในประเทศไทย เพื่อที่จะให้พันธุ์แพะพื้นเมืองในประเทศไทยมีขนาดใหญ่ขึ้น พันธุ์แพะแองโกล- นูเบียน นี้มีขนาดตัวใหญ่มาก น้ำหนักแรกเกิดอยู่ที่ 2-5 กิโลกรัม แพะพันธุ์นี้มีหลายสี ทั้งสีเดียวในตัวและสีด่างปน ดั้งจมูกโด่งและงุ้ม ใบหูยาวและปรกลง ปกติแพะพันธุ์นี้จะไม่มีเขา ถ้ามีเขาเขาจะสั้นและเอนแนบติดกับหนังหัว ขนสั้นละเอียดเป็นมัน มีขายาว ซึ่งช่วยให้เต้านมอยู่สูงทำให้ง่ายต่อการรีดนม แพะพันธุ์นี้สามารถทนต่ออากาศร้อนได้ดี แต่ในเรื่องผลผลิตแพะพันธุ์นี้จะให้น้ำนมน้อยกว่าแพะพันธุ์อื่นๆ น้ำนมจะได้ประมาณ 1.5 ลิตรต่อวัน ระยะเวลาให้น้ำนมประมาณ 165 วันเท่านั้นเอง

ที่มา : facebook Jetawich Aitsaro Jetawich


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

สูตรอาหารเป็ดไข่ลดต้นทุน ประหยัดค่าหัวอาหาร

สูตรอาหารเป็ดไข่ลดต้นทุน ประหยัดค่าหัวอาหาร

สูตรอาหารเป็ดไข่ลดต้นทุน

หัวใจสำคัญของการเลี้ยงสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ประเภทไหนหรือสัตว์อะไรนั้น อาหารถือว่าเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เรากำหนดราคาขายได้ เพราะอาหารนั้นถือว่าเป็นต้นทุนที่สำคัญอันดับต้นๆ ที่จะบอกได้ว่าเรามีกำไรมากหรือน้อย ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำ สูตรอาหารเป็ดไข่ลดต้นทุน กัน

เป็ดไข่ เป็นสัตว์ปีกอีกประเภทหนึ่งที่เลี้ยงดูง่าย สามารถกินอาหารตามธรรมชาติได้ หรืออาหารสำเร็จรูปได้ดี และให้ผลผลิตไข่ปริมาณมาก เมื่อเทียบกับสัตว์ปีกชนิดอื่นๆ แต่อาจจะสู้ไก่ไข่ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เป็ดไข่จึงเป็นที่นิยมเลี้ยงรองมาจากไก่ไข่ โดยเฉพาะในปัจจุบันมีพันธุ์เป็ดไข่เชิงการค้าและพันธุ์ที่ได้รับการพัฒนาให้สามารถปรับตัวกับสภาพแวดล้อมของประเทศไทยได้ดีขึ้น

สูตรที่ 1 อาหารเป็ดไข่ลดต้นทุน

วัตถุดิบ มีดังนี้

  • หัวอาหารเป็ดไข่สำเร็จรูป ประมาณ 2 -3 กิโลกรัม
  • หยวกกล้วยหั่นหรือสับเป็นชิ้น 1-2  กิโลกรัม
  • รำข้าว 5 กิโลกรัม
  • ข้าวเปลือก 1-2  กิโลกรัม
  • อีเอ็ม 3 ช้อนโต๊ะ
  • เกลือ ประมาณครึ่งขีด

วิธีการทำ

  •  โดยวิธีการนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมรวมกันและนำไปแบ่งให้เป็ดกิน ตามความเหมาะสมได้เลย

สูตรที่ 2 สูตรอาหารเป็ดไข่ลดต้นทุน

วัตถุดิบในการผลิตอาหารเป็ดนั้น แต่ล่ะพื้นที่อาจจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมดังนั้นในการผลทำ สูตรอาหารเป็ดลดต้นทุนเร่งไข่ดก อาจจะแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย

วัสดุและอุปกรณ์

  • รำอ่อนหรือรำหยาบก็ได้  1 ส่วน
  • หัวอาหารเป็ดไข่ 1 ส่วน
  • นกล้วยสับ  1 ส่วน
  • แหนแดง, ใบตำลึง, ต้นกล้วยสับ อย่างไดอย่างหนึ่งก็ได้ตามความสะดวก 2 ส่วน
  • กากน้ำตาล ครึ่งกิโลกรัม
  • เกลือ 1-2 ขีด
  • ปลายข้าว 1-2 กิโลกรัม

วิธีการทำ

นำส่วนผสม รำอ่อนหรือรำหยาบ หัวอาหารเป็ดไข่ แหนแดง ใบตำลึง ต้นกล้วยสับ เทลงไปในกะละมังผสมอาหาร แล้วคลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน จากนั้น เทกากน้ำตาล เกลือ และ ปลายข้าว ลงไปคลุกคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ก็สามารถนำไปเป็นอาหารเป็ดไข่ได้แล้ว สามารถปรับอัตราส่วนได้ตามความเหมาะสมหรือตามจำนวนเป็ดที่เลี้ยงได้เลย

การนำไปใช้

สามารถนำอาหารเป็ดที่ผสมได้ ให้เป็ดกินในช่วงเวลาเช้าและเย็นได้เลยไม่ต้องหมัก หรือจะหมกทิ้งไว้หนึ่งคืนก็ได้

สูตรที่ 3 สูตรอาหารเป็ดไข่ลดต้นทุน

วัตถุดิบ มีดังนี้

  • เศษปลาต่างๆ ตามที่หาได้ตามท้องถิ่นประมาณ  10 กิโลกรัม
  • รำอ่อน และ ปลายข้าว อย่างล่ะ 1 ส่วน
  • ท่อนกล้วยสับละเอียดประมาณ 25- 30 กิโลกรัม
  • กากน้ำตาล 1 กิโลกรัม
  • เกลือ ประมาณ 2 – 3 ขีด
  • ปี๊บ (สำหรับไว้ต้มเศษปลา)
  • ถังดำหรือถังเขียวไว้สำหรับผสมอาหาร 1 ใบ

หมายเหตุ ส่วนผสมนั้นสามารถปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมของจำนวนเป็ดที่เลี้ยงไว้ได้ตามความต้องการ อาจจะมากหรือน้องตามสัดส่วนที่ต้องการได้เลยครับ

วิธีการทำ

  • เริ่มจากการนำเศษปลามาต้มโดยเทใส่ปี๊บต้มให้สุก จากนั้นตั้งพักไว้ให้เย็น
  • แล้วนำท่อนกล้วยที่สับละเอียด  กากน้ำตาล  เกลือ ทั้งหมดที่เตรียมไว้  เทลงในถังผสมอาหารที่เตรียมไว้ แล้วคลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน นำเศษปลาที่ต้มและน้ำต้มปลามาเทรวมกัน คลุกเคล้าให้เข้ากันอีกครั้ง
  • จากนั้นก็สามารถนำไปใช้เป็นอาหารเลี้ยงเป็ดได้ ปริมาณส่วนผสมที่ได้จะเลี้ยงเป็ดได้ประมาณ 50-60 ตัว

การนำไปใช้
นำสูตรอาหารเป็ดไข่ที่เราผสมได้ ไปผสมกับปลายข้าว 1 ส่วน และรำอ่อนอีก 1 ส่วน กรณีมีข้าวเปลือกก็สามารถเพิ่มเข้าไปได้อีก 1 สวนก็ได้ ให้เป็ดกินในช่วงเวลาเช้าและเย็น


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

แกงปลาช่อนใส่หน่อไม้ส้ม แบบพื้นบ้าน สไตล์อีสาน

แกงปลาช่อนใส่หน่อไม้ส้ม แบบพื้นบ้าน สไตล์อีสาน

แกงปลาช่อนใส่หน่อไม้ส้ม

แกงปลาช่อนใส่หน่อไม้ส้ม


สวัสดีครับทุกคน วันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับเมนูบ้าน ๆ ที่ความอร่อยไม่ได้บ้านๆ กันครับ สำหรับเมนูที่ว่านี้ นั้นคือเมนู แกงปลาช่อนใส่หน่อไม้ส้ม หรือหน่อไม้ดองนั้นเองครับ สำหรับการทำเมนูนี้ก็ไม่มีอะไรยุ่งยากมากนัก พระเอกของเมนูนี้ก็คือ ปลาช่อน และหน่อไม้ส้มนั้นเองครับ

สำหรับ แกงปลาช่อนใส่หน่อไม้ส้ม นั้นกรณีไม่มีปลาช่อน หรือหาไม่ได้ก็สามารถนำปลาชนิดอื่นมาแกงแทนได้เหมือนกันครับ เช่น ปลากด ปลาแขยง ปลาตะเพียน เป็นต้น รสชาติอร่อยไม่แพ้กันเลยครับ

เรามาดูการเตรียมวัตถุดิบและวิธีการทำกันครับ ว่ามีขั้นตอนอย่างไหร่บ้าง

ขั้นตอนการเตรียมเครื่อง

  • พริก (ตามชอบตำพอหยาบ ๆ)
  • หั่นตะไคร้
  • หอมแดง
  • หัวข่า
  • ล้างปลา ถอดเกล็ดปลา และหั่นเป็นแว่น ๆ ไม่ต้องไส้ปลาออก เพราะกินได้ครับ
  • หน่อไม้ดองล้างคั้นน้ำเปรี้ยวออก
  • ใบแมงลักเด็ด, ต้นหอมหั่นเตรียมไว้

แกงปลาช่อนใส่หน่อไม้ส้ม

ขั้นตอนการทำ

  • เทน้ำใส่หม้อพอประมาณ เปิดไฟต้มน้ำรอจนเดือด ตำพริก, ตามด้วยตะไคร้หั่นแฉลบ, หัวหอมบุบพอแตก ลงไปพอน้ำเดือด ได้กลิ่นหอมเครื่อง ใส่ปลาช่อนลงไป เติมเกลือเล็กน้อย (ห้ามคนเด็ดขาด) ปล่อยไว้จนน้ำเดือดขึ้นมาอีกครั้ง
  • ตามด้วยหน่อไม้ดองลงไปเลย
  • เราจะปรุงรสด้วย น้ำปลาร้า,น้ำปลา, ผงชูรส (ชิมรสตามชอบ ** การทำอาหารไม่มีรสชาดตายตัว อยู่ที่คนชอบเลยครับ)
  • เสร็จแล้วตักเสิร์ฟร้อนๆ ได้เลย

เคล็ดลับน่ารู้..ใครว่าหน่อไม้ดองไม่มีประโยชน์

ประโยชน์ของ “หน่อไม้” ก็มีคือ หน่อไม้ทุกชนิดจะมีกากใยอาหารที่ดีต่อการขับถ่าย หน่อไม้ดองใช้บำรุงไต ล้างยา และล้างพิษ หน่อไม้สดช่วยขยายหลอดเลือด แต่ควรกินคู่กับใบย่านาง (จะเป็นการล้างพิษของหน่อไม้ออก) หน่อไม้น้ำใช้รักษาโรคเบาหวาน และหน่อไม้ฝรั่งมีสรรพคุณแก้เมาได้ ซึ่งประโยชน์ทั้งหลายจะมีแตกต่างกันไปตามชนิดของหน่อไม้

ภาพประกอบจาก | facebook ครัว ไทบ้าน


บทความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

บ้านชั้นเดียวสไตล์ร่วมสมัย โทนสีเหลืองอ่อน พร้อมระเบียงพักผ่อน

บ้านชั้นเดียวสไตล์ร่วมสมัย (Contemporary Style) โทนสีเหลืองอ่อน พร้อมระเบียงพักผ่อน

บ้านชั้นเดียวสไตล์ร่วมสมัย

วันนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปชม บ้านชั้นเดียวสไตล์ร่วมสมัย (Contemporary Style) หลังคาทรงจั่วให้ความรู้สึกคลาสสิค ดูอบอุ่น มาในโทนสีสบายตา ครบครันทุกฟังก์ชั่น มาพร้อมกับการออกแบบที่ผสมผสานระหว่างยุคสมัยเข้าไว้ด้วยกัน จึงทำให้บ้านหลังนี้ดูมีเสน่ห์ และน่าอยู่มากๆ ใครที่ชอบบ้านสไตล์นี้เราลองไปชมบ้านหลังนี้กันเลย

ผลงานและรูปภาพ : โดยทีมงานรวยก่อสร้าง
เรียบเรียงโดย : withikaset.com

บ้านชั้นเดียวสไตล์ร่วมสมัย

แบบบ้านชั้นเดียวโทนสีเหลืองอ่อน ออกแบบเน้นความเรียบง่ายและดีไซน์ที่อบอุ่น หลังคาบ้านเป็นทรงปั้นหยด้วยดีไซน์บ้านโดยรวมออกแบบได้อย่างสบายตาและเน้นความเรียบของโทนสีบ้าน บ้านชั้นเดียวมีขนาด 3 ห้องนอน 1 ห้องพระ 2 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว ภายนอกด้วยดีไซน์หน้าบ้านมีบันไดทางขึ้นใหญ่ ด้านข้างราดด้วยพื้นปูนซีเมนต์ ฐานตัวบ้านทาด้วยสีขาว

บ้านชั้นเดียวสไตล์ร่วมสมัย

ประตูและหน้าต่างของบ้านเลือกใช้เป็นประตูไม้ขนาดใหญ่สองบาน หน้าต่างติดตั้งเป็นแบบกระจกใส จึงให้ความโปร่งสบาย พื้นที่บริเวณนี้ยังถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมอื่นๆ ตามความต้องการได้อีกด้วย

บ้านชั้นเดียวสไตล์ร่วมสมัย

เข้ามาภายในบ้านห้องรับแขกหรือห้องโถงโทนสีขาวสว่าง ปูด้วยกระเบื้องพื้นลายไม้ และมีบัวกันเปื้อนสีขาว ส่วนของเพดานเป็นสีขาวและติดตั้งด้วยโคมไฟเพื่อความสว่างขนาดใหญ่

บ้านชั้นเดียวสไตล์ร่วมสมัย




ภายในห้องนอนก็จะมีพื้นที่ใช้สอยที่กำลังดี โปร่งสบายด้วยหน้าต่างหลายมุม จึงทำให้ภายในห้องมีความเย็นสบายได้ตลอดทั้งวัน

มุมต่าง ๆ ที่เชื่อมกับตัวห้องนอนจะเห็นว่าเลือกใช้ประตูห้องเป็นโทนสีน้ำตาลและขาว

ห้องครัวเน้นตกแต่งด้วยโทนสีขาวเป็นหลัก ทำให้รู้สึกโล่งโปร่งไม่อึดอัด และมองเห็นคราบสิ่งสกปรกได้อย่างชัดเจน โดยแต่ละโซนมีการออกแบบ เพื่อให้สะดวกสบายต่อการใช้งาน รองรับการทำครัวได้ทุกรูปแแบบ อีกทั้งยังตอบโจทย์การใช้งานต่อสมาชิกทุกคนในบ้านได้อย่างลงตัว

ห้องน้ำ

ส่วนของห้องน้ำมีลวดลายผนังเป็นลายกินอ่อน พื้นกรระเบื้องเป็นลายหกเหลี่ยมดูตระการตาเรียงกันอย่างสวยงาม มีอุปกรณ์ที่อำนวยความสะดวกต่อการใช้งานอย่างครบครันพร้อมทั้งช่องระบายอากาศภายในห้องน้ำที่เปิดรับแสงและเป็นช่องระบายได้

ห้องน้ำ

สำหรับใครที่สนใจต้องการบ้านเดี่ยวทรงปั้นหยา หรือสไตล์อื่นๆ สามารถเข้าไปชมผงานการออกแบบได้ทางเพจ รวยก่อสร้าง หรือสอบถามรายละเอียดได้ตามข้อมูลด้านล่างนี้ได้ค่ะ

ช่องทางการติดต่อ
เพจ : โดยทีมงานรวยก่อสร้าง
ติดต่อ : 0636191556
id line : ruaay168


หมายเหตุ : บ้านทุกหลังที่ทางเว็บ www.withikaset.com นั้นได้นำมาลง  ทางเว็บไม่ได้รับสร้างบ้านนะครับ เพียงแค่นำเสนอเพื่อเป็นไอเดียสำหรับคนที่กำลังสร้างบ้านเท่านั้น และถ้าหากสนใจแบบบ้านที่เรารีวิว ก็สามารถติดต่อเจ้าของผลงานโดยตรงเองได้เลย ส่วนราคาค่าก่อสร้างบ้านนั้น ขึ้นอยู่กับสถานที่ พื้นที่ก่อสร้าง และ เกรดวัสดุ ซึ่งมีปรับขึ้น-ลงทุกปีครับ และต้องขอบคุณเจ้าของผลงานมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ




บทความอื่นที่น่าสนใจ