สวรรค์บนดิน1ไร่ พอเพียง อยู่ได้สบายๆ ไม่ต้องใช้เงินเดือน

สวรรค์บนดิน1ไร่ พอเพียง อยู่ได้สบายๆ ไม่ต้องใช้เงินเดือน


ระบบเกษตรผสมผสาน  ( Integrated  farming  system )

 เป็นระบบเกษตรที่มีการปลูกพืชและมีการเลี้ยงสัตว์หลากหลายชนิดในพื้นที่เดียวกันโดยที่กิจกรรมการผลิตแต่ละชนิด เกื้อกูลประโยชน์ต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในไร่นาอย่างเหมาะสม เกิดประโยชน์สูงสุด มีความสมดุลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง และเกิดการเพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ การเกื้อกูลกันระหว่างพืชและสัตว์ เศษซากพืช และผลพลอยได้จากการปลูกพืชจะเป็นประโยชน์ต่อกิจกรรมการเลี้ยงสัตว์ และผลพลอยได้จากการเลี้ยงสัตว์ก็จะเป็นประโยชน์ต่อพืชเช่นกัน



ระบบเกษตรผสมผสานเป็นระบบเกษตรกรรมที่จะนำไปสู่การเกษตรยั่งยืนโดยมีรูปแบบที่ดำเนินการมีลักษณะใกล้เคียงกับระบบไร่นาสวนผสม และทำให้ผู้ปฏิบัติมีความสับสนในการให้ความหมายและวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง

ระบบไร่นาสวนผสม (Mixed/Diversefied/Polyculture Farming System)

เป็นระบบการเกษตรที่มีกิจกรรมการผลิตหลาย ๆ กิจกรรมเพื่อตอบสนองต่อการบริโภคหรือลดความเสี่ยงจากราคาผลิตผลที่มีความไม่แน่นอนเท่านั้น โดยมิได้มีการจัดการให้กิจกรรมการผลิตเหล่านั้นมีการผสมผสานเกื้อกูลกัน เพื่อลดต้นทุนการผลิต และคำนึงถึงสภาพแวดล้อมเหมือนเกษตรผสมผสานการทำไร่นาสวนผสมอาจมีการเกื้อกูล กันจากกิจกรรมการผลิตบ้าง แต่กลไกการเกิดขึ้นนั้นเป็นแบบ “เป็นไปเอง” มิใช่เกิดจาก “ความรู้ ความเข้าใจ” อย่างไรก็ตามไร่นาสวนผสม สามารถพัฒนาความรู้ความสามารถของเกษตรกรผู้ดำเนินการให้เป็นการดำเนินการในลักษณะ ของระบบเกษตรผสมผสานได้

ระบบเกษตรผสมผสานเป็นการจัดระบบของกิจกรรมการผลิตในไร่นา ได้แก่ พืช สัตว์ ประมง ให้มีการผสมผสานอย่างต่อเนื่องและเกื้อกูลในการผลิตซึ่งกันและกัน โดยการใช้ ทรัพยากรที่มีอยู่ในไร่นา เช่น ดิน น้ำ แสงแดดอย่างเหมาะสมเกิดประโยชน์สูงสุด มีความสมดุล ของภาพแวดล้อมอย่างต่อเนื่องและเกิดผลในการเพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติด้วย

เกษตรผสมผสานและไร่นาสวนผสม คืออะไร

เกษตรผสมผสานและไร่นาสวนผสม

เกษตรผสมผสานและไร่นาสวนผสม เป็นการนำเอาส่วนผสมของการทำอาชีพเกษตรกรมารวมไว้อย่าน้อย 2 ประเภทขึ้นไป หรืออธิบายให้ง่ายกว่านั้นก็คือ การที่เกษตรกรทำงานมากกว่า 2 ชิ้นขึ้นไปภายในพื้นที่และช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งถ้าแยกความหมายของเกษตรผสมผสานก่อน ก็จะให้ข้อมูลได้ว่า เป็นการทำเกษตรในรูปแบบต่าง ๆ บนพื้นที่หนึ่ง ซึ่งมีมากกว่า 2 ประเภทขึ้นไปไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืชคนละชนิด การเลี้ยงสัตว์คนละประเภท เพื่อให้เกิดการเกื้อกูลระหว่างกัน และสร้างประโยชน์ให้กับเกษตรกรมากที่สุด ทั้งนี้ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานห่วงโซ่ที่มีความสัมพันธ์กันด้วย จะได้ประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่าย รวมถึงไม่ยุ่งยากในการดูแล ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น การปลูกข้าวแล้วข้างคันนามีการทำเป็นบ่อเลี้ยงปลา, การเลี้ยงไก่เอาไว้บนบ่อปลา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ถือเป็นแนวทางของเกษตรผสมผสานที่จะช่วยเพิ่มผลผลิตให้กับผู้ทำได้จริง บนพื้นฐานแห่งการใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่ามากที่สุด

ขณะที่ไร่นาส่วนผสมเองก็จะเน้นการปลูกพืชเป็นส่วนใหญ่แต่ไม่จำเป็นต้องปลูกในช่วงเวลาเดียวกันเสมอไป เช่น ช่วงฤดูข้าวก็มีการปลูกข้าวขายตามปกติ แต่เมื่อหมดการเก็บเกี่ยวไปแล้วอาจเปลี่ยนพื้นที่นาบริเวณนั้นเป็นไร่ถั่วลิสง, ไร่อ้อย, ไร่มันสำปะหลัง ฯลฯ เพื่อไม่เป็นการปล่อยพื้นที่ให้เกิดการรกร้างและขาดประโยชน์ไปโดยใช่เหตุ ส่วนใหญ่แล้วการทำไร่นาส่วนผสมจะเน้นดูเรื่องของความคุ้มค่าและราคาของพืชผลเป็นหลักสำคัญด้วย เช่น ปีนี้ราคามันสำปะหลังไม่ค่อยดี ก็อาจทำเป็นไร่ถั่วลิสงแทน เพราะสร้างรายได้มากกว่าเมื่อเทียบการลงทุนในปริมาณเท่า ๆ กัน เป็นต้น



นี่คือความหมายของเกษตรผสมผสานและไร่นาสวนผสมซึ่งจริง ๆ แล้วถ้ามองภาพให้กว้างขึ้นกว่านี้อีกจะพบว่า ทั้ง 2 ประเภทนี้มีความคล้ายคลังกันพอสมควรทีเดียว แก่นแท้ของความต้องการคือ พยายามทำให้เกิดความคุ้มค่าบนพื้นที่การเกษตรของตนเองมากที่สุด ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างประโยชน์ในเชิงบวกด้วย ไม่ใช่แค่การมีพื้นที่แล้วทำตามความชอบ แต่ต้องอาศัยหลักการห่วงโซ่ และความต้องการของตลาดมาเป็นอีกปัจจัยสำคัญในการพิจารณาว่าจะทำอย่างไรดีบ้าง

เกษตรผสมผสานและไร่นาสวนผสม สร้างประโยชน์ให้กับเกษตรกรในด้านไหนบ้าง

หลังจากเข้าใจความหมายและภาพรวมคร่าว ๆ ของทั้งเกษตรผสมผสานและไร่นาสวนผสมกันไปแล้ว คราวนี้จะมาแยกเป็นข้อ ๆ เพื่อให้เห็นภาพแบบชัดเจนไปเลยว่าหากเลือกทำการเกษตรทั้ง 2 แบบนี้ จะเกิดความคุ้มค่าและประโยชน์ในด้านใดกับเกษตรกรบ้าง

  1. การใช้พื้นที่ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
    ข้อแรกนี้ถือว่าชัดเจนในความหมายอยู่แล้วกับการเปลี่ยนพื้นที่เดิม ๆ ซึ่งเคยปลูกหรือเลี้ยงสัตว์แค่ชนิดเดียวมาเป็นเกษตรผสมผสานและไร่นาสวนผสม เพราะจะช่วยให้ทุกพื้นที่ของเกษตรกรถูกใช้งานอย่างเหมาะสม คุ้มค่า ไม่ปล่อยแม้แต่จุดเล็ก ๆ ให้กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า ไร้ประโยชน์

    สวรรค์บนดิน1ไร่ พอเพียง อยู่ได้สบายๆ

  1. เพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรได้มากขึ้น
    เมื่อมีการสร้างผลผลิตที่มากขึ้นแม้มีอยู่บนพื้นที่เดียวกัน ย่อมสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรมากกว่าเดิมแบบไม่ต้องมีข้อสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น เช่น จากเดิมที่ชาวนามีแค่การทำนา เมื่อหมดหน้านาก็ว่าง ไม่มีงาน ไม่มีเงิน ก็สร้างรายได้จากการขายพืชไร่ชนิดอื่น ๆ แทน หรือ จากเดิมเป็นแค่สวนผักเล็ก ๆ แต่มีการเลี้ยงปลาเพิ่มในบ่อน้ำที่นำไปใช้รดน้ำผักทุกวัน แบบนี้ก็เท่ากับสร้างรายได้ 2 ช่องทางในเวลาเดียวกันไปเลย
  1. สร้างแนวคิดวางแผนในการทำงานอย่างเหมาะสม
    การจะเลือกทำเกษตรผสมผสานและไร่นาสวนผสมไม่ว่าชนิดใดก็ตามต้องมีการวางแผนให้รอบคอบก่อนเสมอ เพื่อเวลาลงมือทำไปแล้วจะพบว่าสอดคล้อง เป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้ เช่น ปลูกผักแต่ดันไปเลี้ยงไก่แบบนี้ก็มีโอกาสที่ไก่จะจิกผลผลิตตายหมด เป็นต้น การทำเกษตรในลักษณะที่ว่ามาจะช่วยให้รู้จักการวางแผนแบบเป็นขั้นตอน มองภาพออกว่าควรทำแบบไหน อย่างไร เพื่อให้ผลผลิตออกมาตรงกับที่ต้องการมากที่สุดนั่นเอง

เกษตรผสมผสานและไร่นาสวนผสม ถือเป็นแนวทางดี ๆ ที่จะช่วยให้เกษตรกรทุกคนลืมตาอ้าปากได้ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์ แต่ยังมีรายได้เพิ่มเติมจากเคยมีแค่ทางเดียวแล้วต้องไปหารับจ้างทำงานแบกหาม ได้อยู่บนพื้นที่ของตนเอง ตื่นเช้ามาทำในสิ่งที่รัก อยู่กับธรรมชาติ สร้างความสุขเล็ก ๆ ในชีวิตให้เกิดขึ้นภายในครอบครัว อีกทั้งยังเห็นการเติบโตของผลผลิตที่เฝ้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่แรก อาจบอกว่าเป็นชีวิตแบบพอเพียงที่ไม่ต้องมีเงินรวยล้นฟ้า แต่มีความสบายใจในทุก ๆ วันที่ได้ทำและเลี้ยงชีพแบบที่น่าพึงพอใจ

อ้างอิงจาก | สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์กรมหาชน) 

ที่มา | Youtube Channel : เกษตรอิสาน ยุคใหม่
คลิปhttps://www.youtube.com/watch?v=YJPmJexZiCE




บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

วิธีปลูกเมล่อนแบบง่ายๆ ในถังพลาสติก มือใหม่ก็ปลูกได้

(คลิป) วิธีปลูกเมล่อนแบบง่ายๆ ในถังพลาสติก มือใหม่ก็ปลูกได้

วิธีปลูกเมล่อนแบบง่ายๆ





เมล่อน ( melon ) เมล่อน รสหวานมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวนิยมรับประทานกันมากในปัจจุบัน มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงเป็นแหล่งวิตามินเอและวิตามินซี ที่มีส่วนช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสวยงาม มีแคลเซียมที่ช่วยเรื่องกระดูกและฟัน เป็นผลไม้ที่มีเส้นใยสูงมากช่วยทำให้อิ่มและลดการสะสมของน้ำตาลในเลือด เอนไซม์ในน้ำเมล่อน มีสรรพคุณช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดกระบวนการทางเคมีภายในร่างกาย ส่งผลให้ลดระดับความเครียดของคนเราลงได้ 

การเพาะกล้าเมล่อน

  • แช่เมล็ดเมล่อนด้วยน้ำอุ่น  4 ชั่วโมง มาบ่มในผ้าสะอาดหมาดน้ำ (หรือวางบนกระดาษทิชชู) ใส่ในกล่องพลาสติก กล่องโฟม หรือกระติกน้ำปิดฝาทิ้งไว้ 1 คืน เพื่อให้รากเมล่อนแทงออกมาจากเมล็ดเล็กน้อย
  • นำเมล็ดไปเพาะต่อในดินมีเดีย (พีทมอส) หรือวัสดุเพาะสำเร็จซึ่งเป็นวัสดุปลูกสูตรสำเร็จ เหมาะสำหรับต้นกล้าทุกชนิด อุ้มน้ำได้ดีแต่ไม่แฉะ ช่วยรักษาระดับความชื้นให้ต้นกล้า (pH เป็นกลาง) สะอาด ปราศจากเชื้อรา ซึ่งเป็นสาเหตุโรคพืช
  • รดน้ำให้ดินชุ่มชื้น หยอดเมล็ดให้อยู่ตรงกลาง และกลบด้วยดินมีเดียบางๆ พร้อมกับรดน้ำให้ชุ่มชื้น นำถาดเพาะกล้าไปเก็บในที่ที่มีแสงแดด หรือเก็บที่โรงเรือนเพาะที่ได้รับแสงแดดเต็มที่

การปลูกและดูแลเมล่อน

  • เริ่มจากเตรียมกระถาง กระบะ หรือภาชนะที่มีความลึกอย่างน้อย 30 เซนติเมตร ผสมดินสำหรับปลูก โดยใช้ดิน 1 ส่วน ปุ๋ยหมัก / ปุ๋ยคอก 1 ส่วน และแกลบดำ 1 ส่วน ผสมส่วนผสมทั้งหมดลงดิน แล้วใส่ลงในกระถาง

**หากปลูกในระบบที่ให้ปุ๋ยทางน้ำส่วนใหญ่จะใช้แกลบดำ หรือขุยมะพร้าว อย่างใดอย่างหนึ่ง

  • ต้นกล้าเมล่อนระยะ 7-10 วัน มีใบเลี้ยง 2 ใบ และมีใบจริง 1 ใบ ก็จะย้ายกล้าปลูกลงแปลงเลย ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการย้ายกล้าคือ ช่วงเย็น เพราะอากาศจะไม่ร้อน
  • ตัดแต่งเด็ดแขนงออกเป็นประจำ หลังปลูกได้ประมาณ 8-10 วัน ต้นเมล่อนเริ่มจะมีแตกแขนงข้างเล็กๆ ออกมา แขนงมีขนาดเล็ก ก็จะเด็ดออกก่อน ไม่ปล่อยให้ยาวมากถึงค่อยเด็ดออก เพราะถ้าเราสามารถเด็ดออกได้เร็ว ต้นก็จะโตทางยอดได้เร็ว
  • อายุต้นได้ประมาณ 15 วัน ก็จะต้องเริ่มมัดต้นให้ต้นตั้งตรงเลื้อยขึ้นเชือก การมัดต้นถ้าทำได้เร็วต้นจะตรง ควรจะต้องมีใบ 25-30 ใบ เพื่อให้เพียงพอสำหรับการเลี้ยงผลให้ได้คุณภาพ
  • ที่เด็ดแขนงข้างออกในทุกๆ เมื่อต้นเมล่อนมีใบหรือช่วงข้อหรือใบที่ 8-12 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เหมาะสม ติดผลและเลี้ยงผลได้มีคุณภาพที่สุด
  • หลังมีการปล่อยไว้แขนงเพื่อให้เกิดดอกตัวเมียที่กิ่งแขนง ราวๆ 28-30 วัน หลังปลูกดอกตัวเมียจะเริ่มบาน ส่วนดอกตัวผู้จะออกมาตลอดทุกๆ ข้อ ตามลำต้น
  • หลังปลูก 20 วัน สังเกตว่าดอกตัวเมียเริ่มบาน ก็จะต้องมาช่วยผสมเกสรทุกๆ เช้า ช่วงเวลาประมาณ 07.00-11.00 น. ของทุกๆ วัน เนื่องจากดอกตัวเมียจะบานในช่วงเวลาเช้า

วิธีการผสมดอก และการคัดเลือกผล

    • เด็ดดอกตัวผู้ที่สวย ดูสมบูรณ์ มาใช้มือฉีกเด็ดกลีบดอกตัวผู้ทิ้งไปให้หมด จากนั้นก็จะนำเกสรไปแต้มให้ทั่ว เขี่ยวนไปสัก 2-3 รอบ เพื่อความมั่นใจให้ติดผลดี
    • เมื่อผสมเสร็จ 1-2 วัน ดอกตัวเมียที่ได้รับการผสมที่ดีก็จะกลายเป็นผลอ่อนขนาดเล็ก ใน 1 ต้น อาจจะมี 3-5 ผลอ่อน
    • เมื่อต้นเมล่อนติดผลมีขนาดเท่าไข่ไก่ ให้ตัดสินใจเลือกไว้แค่ผลเดียว ที่ทรงผลสวยสุด ลักษณะผลรียาว ผิวสวย จากนั้นต้องเร่งแต่งแขนงผลที่ไม่ต้องการ เพื่อให้อาหารส่งมายังผลที่เราเลือกเอาไว้
    • หลังจากปลูก 35 วัน จะเป็นการแขวนผล การแขวนผลจะใช้เชือกฟาง เพราะมีความอ่อนนุ่ม ไม่บาดขั้วผล การแขวนผลนั้นจะช่วยให้ต้นไม่ต้องรับน้ำหนักมาก เมื่อใบเมล่อนมีประมาณ 25-30 ใบ (นับจากใบล่างสุดขึ้นไป) ประมาณ 40 วัน ก็จะต้องตัดปลายยอดทิ้ง เพื่อให้อาหารถูกส่งมาเลี้ยงที่ผลเพียงอย่างเดียว




การให้น้ำ  ปัจจุบันนิยมใช้ระบบการให้น้ำแบบหยดซึ่งเป็นการให้น้ำแก่ต้นแตงที่ในบริเวณรากของต้นแตงแต่ละต้นโดยตรง ซึ่งเป็นวิธีที่ประหยัดน้ำกว่า และยังสามารถผสมปุ๋ยและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชบางชนิดลงไปในระบบน้ำหยดได้ด้วย

การให้ปุ๋ย  ในระหว่างการเตรียมดินก่อนปลูก ได้มีการใส่ปุ๋ยรองพื้นให้แก่ต้นเมล่อนครั้งหนึ่งแล้ว แต่หลังการย้ายปลูกต้องมีการใส่ปุ๋ยเคมีเพิ่มเติมอีกเป็นระยะๆ ในช่วงก่อนออกดอก ช่วงกำลังออกดอกและติดผลอ่อน และช่วงก่อนผลแก่ ดังนี้

    • หลังย้ายปลูก 7 วัน ให้ใส่ปุ๋ย 15 – 15 – 15 ที่โคนต้นเมล่อนในปริมาณ 15 กรัม/ต้น
    • เมื่ออายุประมาณ 25 วัน และ 50 วัน โรยปุ๋ย 15 – 15 – 15  อัตรา 20-25 กรัม/ต้น
    • และเมื่ออายุ 65 วัน ใช้ปุ๋ย 15 – 15 – 15 ร่วมกับปุ๋ย 0 – 0 – 60  20-25 กรัม/ต้น

การเก็บเกี่ยว เมื่อผลเมล่อนสุกแก่ จะมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะภายนอก คือ ในพันธุ์ที่ผิวมีร่างแหจะพบว่าร่างแหเกิดขึ้นเต็มที่คลอบคลุมทั้งผล ผิวเริ่มเปลี่ยนสีและอ่อนนุ่นลง และในบางพันธุ์เริ่มมีกลิ่นหอมเกิดขึ้น อายุเก็บเกี่ยวของเมล่อนที่เหมาะสมนั้นขึ้นกับพันธุ์ ซึ่งมีทั้งพันธุ์เบา ที่มีอายุการเก็บเกี่ยว 60 – 65 วัน พันธุ์ปานกลางมีอายุเก็บเกี่ยว 70 – 75 วัน พันธุ์หนักที่มีอายุเก็บเกี่ยวเกินกว่า 80 – 85 วัน

**ก่อนการเก็บเกี่ยว 1 สัปดาห์ให้ค่อยๆ ลดปริมาณการให้น้ำแก่ต้นเมล่อนลงทีละน้อย จนถึง 2 วันก่อนเก็บเกี่ยว ให้ลดน้ำลงจนกระทั่งต้นเกิดอาการเหี่ยวในช่วงกลางวัน การทำเช่นนี้จะช่วยเพิ่มเปอร์เซ็นต์น้ำตาลในผลเมล่อนและลดปัญหาการแตกของผลเมล่อนก่อนการเก็บเกี่ยว เมล่อนที่จัดว่ามีความหวานอยู่ในเกณฑ์ที่ดี เป็นที่ต้องการของตลาด ควรมีค่าความหวานอยู่ที่ประมาณ 14 องศาบริกซ์ ขึ้นไป หรืออย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่า 12 องศาบริกซ์

ที่มา : railungtop.com , sarakaset.com





บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

บ้านชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น ดีไซน์ทันสมัย พร้อมดาดฟ้าชมธรรมชาติชิวๆ

บ้านชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น ดีไซน์ทันสมัย พร้อมดาดฟ้าชมธรรมชาติชิวๆ

บ้านชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น





บ้านชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น เป็นบ้านที่ได้รับการออกแบบมาในทรงเลขาคณิต เพื่อความสะดวกในการก่อสร้างบ้าน ความสวยงามดูทันสมัย ตามยุค บ้านทรงโมเดิร์น จึงได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน และวันนี้เราได้นำเอาผลงานการออกแบบและก่อสร้างของ กิจเจริญไพบูลย์ ก่อสร้าง มาแชร์ให้เพื่อนได้ดูกัน กับ บ้านชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น สไตล์โมเดิร์น ขนาด 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องโถงรับเเขก 1 ห้องครัว มีระเบียงนอกบ้าน เเละพื้นที่ดาดฟ้าสำหรับพักผ่อนหรือทำกิจกรรมครอบครัว ใช้งบประมาณในการก่อสร้างที่ 1.15 ล้านบาท  จะสวยขนาดไหน ไปชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้กันได้เลยครับ

ผลงานและรูปภาพ : กิจเจริญไพบูลย์ ก่อสร้าง
เรียบเรียง : withikaset.com

บ้านชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น

บ้านชั้นเดียว นี้มี ขนาด 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ยกพื้นประมาณ 50 เซนติเมตร มีเฉลียงหน้าบ้าน  หลังคาบ้านทรงเพิงหมาแหงนเล่นระดับสองชั้น โครงสร้างบนทำด้วยเหล็ก มุงด้วยแผ่นเมทัลชีท ตัวบ้านด้านนอกทาสีขาว ประตูบ้านเป็นชุดกระจกบานเลื่อนสีดำ กระจกใส ทั้งประตูและหน้าต่างบ้านทำบัวปูนสีเทารอบ ทำให้ดูหรูขึ้น

บ้านชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น




บ้านชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น

บ้านชั้นเดียวหลังนี้มีการตกแต่งบัวบนด้านหน้าบ้านด้วยไม้ระแนงสีน้ำตาลริ้วเล็ก ราวกั้นเฉลียงทำด้วยเหล็กทาสีขาวดูสะอาดตา มีเสาเหล็กสีน้ำตาลโชว์หน้าบ้านโดดเด่นมาก

บ้านชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์น



ดาดฟ้าขนาดใหญ่สำหรับทำกิจกรรมและชมวิวสวยๆ พักผ่อนชิวๆ




ห้องนอน ที่ภายในมีการปูพื้นด้วยกระเบื้องลายหินอ่อนสีขาว และหน้าต่างบานเลื่อนกระจกใสขนาดใหญ่ ส่วนฝ้าเพดานเป็นแบบเรียบที่มีการติดตั้งทั้งไฟซาลาเปาพร้อมไฟดาวน์ไลท์ทั้งสี่มุมเพดาน

ห้องครัว กั้นจากห้องโถงด้วยประตูกระจก เพื่อไม่ให้กลิ่นอาหารลอยไปรบกวนห้องอื่น เคาน์เคอร์ที่สร้างไว้ตรงมุมห้อง ปูทับด้วยกระเบื้องสีดำ และติดตั้งซิงค์ล้างจานไว้ด้านบน ส่วนด้านล่างออกแบบให้เป็นพื้นที่สำหรับเก็บของ ห้องนี้กว้าง อากาศปลอดโปร่ง มีทั้งหน้าต่างและประตูหลังบ้านที่เป็นช่องทางระบายอากาศ

ห้องน้ำของตัวบ้าน ถูกปูกระเบื้องบริเวณพนังห้อง ขึ้นไปถึงด้านบนสุด ติดตั้งสุขภัณฑ์ มาพร้อมใช้งาน  เพื่อง่ายต่อการทำความสะอาด

บ้านชั้นเดียวสไตล์โมเดิร์นดีไซน์สวยโดดเด่น ทันสมัยสวยงาม หลังนี้ประกอบด้วย ขนาด 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องโถง สามารถรองรับครอบครัวขนาดกลาง   ก่อสร้างที่ บ้านนาเจริญอำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี  ผลงานการออกแบบและก่อสร้างโดย กิจเจริญไพบูลย์ ก่อสร้าง ในส่วนเรื่องราคาถ้าสามารถสอบถามได้จากข้อมูลด้านล่างหรือหากมีข้อสงสัยประการใดสามารถติดต่อทีมงานผู้สร้างได้ทันที


หมายเหตุ : ทางเพจไม่ได้รับสร้างบ้าน เราลงให้ดูเป็นไอเดียเท่านั้น หากสนใจแบบบ้านที่รีวิว สามารถติดต่อเจ้าของผลงานโดยตรงเองได้เลย ส่วนราคาก่อสร้าง ขึ้นอยู่กับสถานที่ พื้นที่ก่อสร้าง และ เกรดวัสดุ ซึ่งมีปรับขึ้น-ลงทุกปีครับ





บทความอื่นที่น่าสนใจ

การเพาะเห็ดฟางในตะกร้า เก็บไว้กินในครัวเรือนใช้พื้นที่น้อย

การเพาะเห็ดฟางในตะกร้า เก็บไว้กินในครัวเรือนใช้พื้นที่น้อย

การเพาะเห็ดฟางในตะกร้า

การเพาะเห็ดฟางในตะกร้า





“เห็ดฟาง” เป็นเห็ดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้ง่ายแต่ด้วยจะรอธรรมชาติอย่างเดียวคงไม่พอกับความต้องการที่จะบริโภคของมนุษย์ มนุษย์ก็เลยคิดค้นการเพาะเห็ดฟางขึ้นมาหลายวิธี แต่วิธีที่พอจะเป็นแนวทางให้ปฏิบัติหรือทำได้ ยกตัวอย่างเช่น สมัยก่อนเราเพาะเห็ดฟางแบบกองสูง ก็คือเอาวัสดุเช่นฟางมากองไว้แล้วเอาเชื้อโรยเห็ดก็ขึ้น แล้วก็เก็บยาวเป็นเดือน

การเพาะเห็ดฟางในตะกร้านี้เป็นวิธีการเพาะเห็ดฟางที่ประยุกต์ขึ้นมา แต่เดิมนั้นการเพาะเห็ดฟางแบบทั่วไปใช้พื้นที่ในแนวราบ มาตรฐานของการเพาะเห็ดฟางในพื้นที่ราบ 1 ตารางเมตร ถ้าผลผลิตได้ถึง 3 กิโลถือว่ายอดเยี่ยม การเพาะเห็ดฟางแบบในตะกร้าจะใช้พื้นที่ในแนวสูงกับแนวราบของพื้นที่ตะกร้าที่เป็นทรงกระบอก โดยสามารถใช้ตะกร้าซักผ้า ตะกร้าใส่ผลไม้ ตะกร้าใส่ปลาของชาวประมง คือไม่สูงมากประมาณ 1 ฟุต รอบ ๆ ตะกร้าจะมีตามีช่องด้านบนเห็ดก็สามารถออกได้ และสามารถนำตะกร้าซ้อนกันได้หลายชั้น เป็นลักษณะของการเพิ่มพื้นที่การออกดอกของดอกเห็ด ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีทำเหมาะกับทุกรูปแบบ

การเตรียมวัสดุและวิธีการเพาะ

  • ตะกร้าพลาสติก ขนาด 11 นิ้ว มีตาห่าง ประมาณ 1 นิ้ว
  • วัสดุเพาะ ได้แก่ ฟางข้าว เปลือกถั่วเหลือง ชานอ้อย กาก เปลือกมันสำปะหลัง
  • อาหารเสริม เช่น ผักตบชวา ไส้นุ่น ต้นกล้วย นอกจากนี้ อาจใช้แป้งสาลีก็ได้
  • เชื้อเห็ดฟางที่ดี ถ้าเป็นแบบหัวเชื้อถุง 1 ใช้เพาะได้ 2 ตะกร้า
  •  เกรียงไม้ ( สำหรับอัดวัสดุเพาะเห็ด )
  • สุ่มไก หรือกระโจมไม้ไผ

วิธีการเตรียมวัสดุเพาะเห็ดฟาง

  • แช่ฟางข้าวในน้้าประมาณ 12 ชั่วโมง โดยฟางข้าวควรเลือกจากแปลงที่ไม่ใช้สารเคมี น้ำที่ใช้เป็นน้้าสะอาด และหลีกเลี่ยงการใช้น้้าประปาที่มีปริมาณคลอรีนสูง

  • พอรุ่งเช้าก็มานั่งหั่นผักตบเป็นท่อนๆ ขั้นตอนนี้ ใครจะใช้ต้นกล้วย หยวกกล้วย ก้านกล้วยแทนก็ได้
  • เชื้อเห็ดฟางที่ดีควรมีกลุ่มเส้นใยสีขาวหนาแน่น เจริญต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอตลอดถุง มีจุดขาวเล็กๆที่เส้นใยเริ่มรวมตัวกัน และไม่ปรากฏบริเวณสีเขียว ด้า ซึ่งอาจเกิดจากการปนเปื้อนจุลินทรีย์อื่น และไม่มีศัตรูเห็ด

วิธีและขั้นตอนในการเพาะเห็ดฟาง

  1. นำฟางที่เตรียมไว้แล้วใส่ลงในตะกร้า สูงจากก้นตะกร้าประมาณ 2-3 นิ้ว ใช้เกรียงไม้กดฟางให้พอแน่น และใช้ชิดของตะกร้ามากที่สุด หรืออาจใช้วัสดุอื่นแทนฟางก็ได้
  2. โรยอาหารเสริมที่เตรียมไว้ประมาณ 1 ลิตร ต่อ 1 ชั้น โรยอาหารเสริมลงบนวัสดุเพาะให้ชิดขอบตะกร้า โดยกว้าง 2- 3 นิ้ว โรยหนาเพียงชั้นเดียว โรยข้างตะกร้าโดยรอบ อย่าโรยจนหนาเกินไป เพราะจะเกิดการเน่าเสียได้
  3. นำเชื้อเห็ดฟาง มาแยกเป็นชิ้นขนาด 1- 2 เซนติเมตร นำไปคลุกกับแป้งสาลี พอติดผิวนอกของเชื้อเห็ด ซึ่งแป้งสาลี เป็นอาหารเบื้องต้นที่ช่วยให้เชื้อเห็ดเจริญได้ดีแบ่งเชื้อเห็ดออกเป็น 3 ส่วนเท่าๆกัน น าส่วนที่ 1 โรยบนอาหารเสริมโดยรอบ โรยเป็นจุดๆห่างกัน 5 – 10 เซนติเมตร เป็นอันว่าการนี้ได้ วัสดุเพาะชั้นที่ 1
  4. ทำวัสดุเพาะชั้นที่ 2 โดยกระทำเช่นเดียวกับ ข้อ 1-3
  5. ทำวัสดุเพาะชั้นที่ 3 ปฏิบัติตามข้อที่ 1 ส่วน ข้อที่ 2 การโรยอาหารเสริมนั้น ต้องโรยให้เต็มผิวหน้าด้านบน แล้ว ปฏิบัติตามข้อที่ 3 หลังจากนั้นให้น าฟางหรือวัสดุเพาะอื่นๆมาโรยทับด้านบนจนทั่วโรคจนหนาประมาณ 1 นิ้ว
  6. นำน้ำสะอาดประมาณ 2 ลิตร มารดลงด้านบนวัสดุให้ชุ่ม นำตะกร้า นี้ไปวางไว้ในที่ที่เตรียมไว้ โดยอาจวางซ้อนกันได้ ไม่เกิน 4 ชั้น โดยทั่วไปวางตะกร้าเพาะเรียงซ้อนกันไม่เกิน 4 ใบ ชั้นล่างจะให้ผลผลิตสูงกว่าด้านบน ชั้นยิ่งสูงผลผลิตยิ่งน้อยลง ถ้าวางซ้อนเกิน 4 ชั้น ชั้นต่อไปจะให้ผลผลิตไม่คุ้มทุน
  7. ถ้าวางเรียงตะกร้าเพาะเห็ดแบบ 4 ใบชิดกันแล้ววางตะกร้า เพาะอีกใบอยู่บนกึ่งกลางต้องใช้กระโจมหรือโครงไม้ไผ่ทรงสุ่มไก่ครอบคลุม ตะกร้าเพาะให้โครงไม้ไผ่ด้านในอยู่ห่างจากตะกร้าเพาะประมาณ 1 คืบ
  8. นำพลาสติกมาคลุมโครงไม้ไผ่จากด้านบน คลุมให้มิด ส่วนด้านล่างควรหาอิฐหรือใช้ไม้ทับขอบพลาสติกเพื่อป้องกันพลาสติกเปิดออกการ คลุมด้วยพลาสติกใสดอกเห็ดที่ออกมาจะมีสีดำ ถ้าใช้สีเข้มดอกเห็ดจะมีสีขาว ถ้าเป็นชั้นโครงเหล็กที่วางตะกร้าเพาะก็นำพลาสติกมาคลุมได้เลย




การเปิดดอกและการดูแล

วิธีการบ่มเส้นใย

จะต้องควบคุมอุณหภูมิให้ได้ประมาณ 37- 40 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิสูงเกินไปให้เปิดช่องเพื่อระบายอากาศด้านบน หรือรดน้ำที่พื้นรอบ ๆ ใช้เวลาบ่มเส้นใย 4-7 วัน

การกระตุ้นการเกิดดอก

หลังบ่มเส้นใย ลดอุณหภูมิภายในสุ่มไก่หรือโครงครอบ ให้อยู่ระหว่าง 28-32 องศาเซลเซียส โดยเปิดระบายอากาศ เพื่อให้เส้นใยสร้างตุ่มดอกเห็ด

การพัฒนาเป็นดอกสมบูรณ์

หลังเกิดตุ่มดอก รักษาอุณหภูมิภายในสุ่มไก่หรือโครงครอบ ให้อยู่ระหว่าง 28-32 องศาเซลเซียส และอาจให้น้ำเพื่อรักษาความชื้นบริเวณโดยรอบ หลังจากนั้นประมาณ 2-4 วัน สามารถเก็บผลผลิตได้

เก็บผลผลิตด้วยมือ โดยจับดอกเห็ดฟางที่ได้ขนาดแล้ว เป็นดอกตูม เยื่อหุ้มหมวกดอกไม่แตก หมุนเล็กน้อยก่อนยกขึ้น ดอกเห็ดก็จะหลุดออกมาโดยง่าย ดอกเห็ดที่เกิดเป็นกลุ่มให้เก็บพร้อมกันให้หมด

ต้นทุนการผลิต

  • การผลิต 1 ชุด (4 ตะกร้า)  495 บาท
  • สุ่มไก่  1 อัน
  • ตะกร้า 4 ใบ
  • ผ้าพลาสติก(หนำกว้าง 2 เมตร) 3 เมตร
  • ตาข่ายพรางแสง(หนำกว้าง 2 เมตร) 3 เมตร

การผลิต 1 ชุด (4 ตะกร้า) 52 บาท

  • ค่าฟางข้าว
  • ค่าขี้ฝ้าย
  • ค่ามูลสัตว์
  • เชื้อเพาะ

ผลผลิต/รายได้

  • ผลผลิต 2 กก./4 ตะกร้า(0.5 กก./ตะกร้า)
  • รายได้ 180 บาท
  • ราคา 90 บาท/กก.

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หน่วยงานของกรมวิชาการเกษตร ดังนี้ การเพาะเห็ด  กลุ่มวิจัยและพัฒนาเห็ด, สำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ โทรศัพท์ 0-2579-8558, 0-2579-0147 ,รูปภาพจาก | ชายน้อย เห็ดฟาง , sarakaset.com




บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

การเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์แบบง่ายๆ พร้อมสูตรอาหารปลาดุกลดต้นทุน

การเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์แบบง่ายๆ พร้อมสูตรอาหารปลาดุกลดต้นทุน

การเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์

การเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์


ปลาดุก ในประเทศไทยที่นิยมนำมาเพาะเลี้ยงในอดีตนั้นแต่เดิมมี 2 ชนิด แต่ที่นิยมในการเพาะเลี้ยงอย่างมากได้แก่ ปลาดุกอุย (Clarias macrocephalus) เป็นปลาพื้นบ้านของไทยชนิดไม่มีเกล็ด รูปร่างเรียวยาว มีหนวด 4 เส้นที่ริมฝีปาก ผิวหนังมีสีน้ำตาล เนื้อมีสีเหลือง รสชาติอร่อยนุ่มนวล สามารถนำมาปรุงแต่งเป็นอาหารชนิดต่าง ๆ ได้มากมาย ในประเทศไทยมีพันธุ์ปลาดุกอยู่จำนวน 5 ชนิด แต่ที่เป็นที่รู้จักทั่วๆ ไปคือ ปลาดุกอุย และ ปลาดุกด้าน (Clarias batrachus) ซึ่งในอดีตทั้งปลาดุกอุย และ ปลาดุกด้านได้มีการเพาะเลี้ยงกันอย่างแพร่หลาย เมื่อมีการ นำปลาดุกชนิดใหม่เข้ามาเลี้ยงในประเทศไทย




การเลี้ยงปลาดุกในท่อปูนซีเมนต์ เป็นวิธีการเลี้ยงปลาอีกวิธีหนึ่งที่ ที่สามารถเลี้ยงกันได้อย่างง่ายๆ สำหรับสถานที่ก็ใช้พื้นที่ไม่เยอะ และสามารถเคลื่อน ย้ายท่อปูนซีเมนต์ได้ง่ายด้วย ค่าใช้จ่ายในการลงทุนในการการเลี้ยงก็ไม่มาก สามารถนำไปประกอบเป็นอาชีพเสริมได้ และให้ผลตอบแทนก็เป็นที่น่าภูมิใจ สำหรับผู้ที่เลี้ยงปลาดุกในท่อปูนซีเมนต์ มีขั้นตอนรายละเอียดในการเลี้ยงดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 การเตรียมอุปกรณ์

  • สำหรับขั้นตอนในการเตรียมอุปกรณ์ในการเลี้ยงปลาดุกในท่อปูนซีเมนต์ นั้นประกอบไปด้วยอุปกรณ์ดังนี้
  • ท่อปูนซีเมนต์ขนาด 100 x 50 เซนติเมตร หรือตามความเหมาะสมของพื้นที่ของแต่ล่ะท่านได้เลยครับ
  • ท่อพีวีซี ขนาด 1 นิ้ว ยาว 20 เซนติเมตร จำนวน 1 เส้น และยาว 40 เซนติเมตร จำนวน 1 เส้น
  • ข้องอพีวีซีขนาด 1 นิ้ว จำนวน 1 อัน
  • ยางนอกรถสิบล้อจำนวน 1 เส้น
  • ยางนอกรถจักรยานยนต์จำนวน 1 เส้น
  • ตาข่าย
  • น้ำหมักสูตรเลี้ยงปลา
  • ปูน ทราย หิน
  • อาหารสำหรับเลี้ยงปลาดุก
  • พืชผักที่ปลากิน เช่น ผักบุ้ง ผักตบชวา ฯลฯ
  • ลูกปลาดุก 70-80 ตัว

ขั้นตอนที่ 2 การเตรียมบ่อปูนซีเมนต์สำหรับเลี้ยงปลาดุก

สำหรับขั้นตอนในการเตรียมบ่อปูนซีเมนต์ นั้น ถ้าเป็นบ่อเก่าก็จะไม่ค่อยมีอะไรยุ่งยากมากนัก แต่ถ้าเป็นบ่อที่มีการเริ่มใหม่ตั้งแต่การเตรียมบ่อเลย ก็อาจจะต้องใช้เวลาและแรงในการผสมปูนเทรองก้นพื้นบ่อ และทำการแช่น้ำเพื่อที่จะฆ่ากรดด่างในบ่อปูน ซึ่งก็ก็ทำได้หลายวิธีด้วยกันโดยให้นำหัวกล้วยหรือโคนกล้วยมาสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ นำมูลวัวมาผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วนำใส่ไปในบ่อใส่น้ำให้เต็ม แล้วหมักไว้ 5 วัน จากนั้นให้เปิดน้ำทิ้งแล้วเอาโคนกล้วยออกทิ้งด้วย

การเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์

  • นำน้ำสะอาดใส่ไปในบ่อแล้วแช่ทิ้งไว้ 1 วัน หรืออาจจะหลายวันก็ได้ หลังจากนั้นก็ให้เปิดน้ำทิ้ง
  • หลังจากนั้นก็ให้ใส่น้ำสะอาดลงไปเพื่อเตรียมการที่จะเลี้ยงปลาดุกเล็กต่อไป เราอาจจะหาผักตบ หรือผักตามแหล่งน้ำในพื้นที่มาใส่เพิ่มก็ได้เพื่อให้เป็นที่ลบซ่อนของปลาแต่ไม่ควรเยอะมากจนเกินไป




ขั้นตอนที่ 3 สูตรการทำน้ำหมักสูตรเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์

สำหรับการทำน้ำหมักสำหรับผสมน้ำเลี้ยงเพื่อปรับสภาพน้ำให้เหมาะต่อการเลี้ยงปลาดุกนั้นก็ไม่มีอะไรยุ่งยากมากนัก ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

  • ถังพลาสติกที่มีฝาปิดจำนวน 1 ถัง ขนาดเล็กหรือใหญ่ขึ้นอยู่ตามความเหมาะสมเลยครับ
  • น้ำตาลทรายแดง 3 กิโลกรัม
  • ฟักทองแก่ 3 กิโลกรัม
  • มะละกอสุก 3 กิโลกรัม
  • กล้วยน้ำหว้าสุก 3 กิโลกรัม

ขั้นตอนวิธีทำทำน้ำหมักสำหรับเลี้ยงปลาดุกในบ่อปูนซีเมนต์

เริ่มจากการหั่นมะละกอและก็ตามด้วยการหั่นกล้วยน้ำหว้ารวมทั้งห้่นฟักทองทั้งเปลือกและเมล็ดใส่ไว้ในภาชนะที่มีฝาปิดแล้วผสมน้ำตาลทรายแดง แล้วคนให้เข้ากันและปิดฝาให้แน่นหมักทิ้งไว้ประมาณ 7-10  วัน แล้วเติมน้ำสะอาด 9 ลิตร ปิดฝาให้แน่นแล้วหมักต่ออีก 15-20 วัน ก็สามารถนำออกมาใช้งานได้

เรามาดูประโยชน์ของน้ำหมักกันบ้างว่ามีอะไร

  • ใช้เป็นฮอร์โมนพืช เร่งดอก เร่งผล รสชาติหวานอร่อย
  • ทำให้ปลาไม่เป็นโรค
  • ทำให้ปลาไม่มีกลิ่นสาบ
  • ทำให้ปลาไม่มีมันในท้อง
  • ทำให้ปลาจะมีเนื้อหวานรสชาติอร่อย

เห็นไหมครับว่าน้ำหมันนั้นมีประโยชน์มากมายไม่ว่าจะต่อพืชหรือต่อสิ่งมีชีวิตและขั้นตอนการทำก็ไม่มีอะไรที่ยุ่งยากด้วย มือใหม่ก็สามารถทำได้เลยแต่ต้องรอเวลาในการย่อสลายของสารอินทรีย์และแบทรีเรียนิดหน่อยครับ

การเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์ 

การอนุบาลลูกปลาดุกในบ่อซีเมนต์ (กรณีเพาะขยายพันธุ์เอง)

สามารถดูแลรักษาได้ง่าย  ระดับความลึกของน้ำที่ใช้อนุบาลลึก อยู่ประมาณ 15-30 เซนติเมตร การอนุบาลลูกปลาดุกที่มีขนาดเล็ก (อายุ 3 วัน) ระยะแรกควรใส่น้ำในบ่ออนุบาลลึกประมาณ 10-15 เซนติเมตร เมื่อลูกปลามีขนาดใหญ่ขึ้นจึงค่อยๆ เพิ่มระดับน้ำให้สูงขึ้น การอนุบาลให้ลูกปลาดุกมีขนาด 2-3 เซนติเมตร จะใช้เวลาประมาณ 10-14 วัน น้ำที่ใช้ในการอนุบาลจะต้องเปลี่ยนถ่ายทุกวัน เพื่อเร่งให้ลูกปลาดุกกินอาหาร และ มีการเจริญเติบโตดีอีกทั้งเป็นการป้องกันการเน่าเสียของน้ำด้วย การอนุบาลลูกปลาดุกจะปล่อยในอัตรา 3000-4000 ตัว/ตรม. อาหารที่ใช้คือ ไรแดงเป็นหลัก ซึ่งหากให้อาหารเสริม เช่น ไข่ตุ๋น หรือเต้าหู้จะต้องระวังเกี่ยวกับการย่อยของลูกปลาและการ เน่าเสียของน้ำในบ่ออนุบาลให้ดีด้วย

ขั้นตอนที่ 4 การเลี้ยงในบ่อซีเมนต์

อัตราปล่อยปลาดุก ควรปรับสภาพของน้ำในบ่อที่เลี้ยงให้มีสภาพเป็นกลาง หรือเป็นด่างเล็กน้อย แต่ต้องแน่ใจว่าบ่อซีเมนต์จะต้องหมดฤทธิ์ของปูน ลูกปลา ขนาด 2-3 ซม. ควรปล่อยในอัตราประมาณ 100 ตัว/ตรม. เพื่อป้องกันโรคซึ่งอาจจะติดมากับลูกปลา ใช้น้ำยาฟอร์มาลินใส่ในบ่อเลี้ยง อัตราความเข้มข้นประมาณ 30 ส่วนในล้าน (30 มิลลิลิตร/น้ำ 1 ตัน ในวันที่ปล่อยลูกปลาไม่จำเป็นต้องให้อาหารควรเริ่มให้อาหารในวันรุ่งขึ้น

การเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์

หมายเหตุ ก่อนให้อาหารต้องนำอาหารมาแช่น้ำก่อนเสมอประมาณ 10-15 นาที เหตุผลเพื่อ

  • ปลาจะได้กินอาหารทุกตัว
  • ปลาตัวที่แข็งแรงจะทำให้ท้องไม่อืด
  • ปลาไม่ป่วย
  • การเจริญเติบโตใกล้เคียงกัน
  • อาหารไม่เหลือในบ่อและน้ำก็ไม่เสีย
  • ถ่ายน้ำทุกๆ 7 วัน หรือ 10 วัน / ครั้ง ทุกครั้งที่ถ่ายน้ำจะต้องใส่น้ำหมัก 1 ช้อนโต๊ะเสมอ

การให้อาหาร

เมื่อปล่อยลูกปลาดุกลงในบ่อแล้ว อาหารที่ให้ในช่วงที่ลูกปลาดุกมีขนาดเล็ก  ควรให้อาหารผสมคลุกน้ำปั้นเป็นก้อนให้ลูกปลากิน โดยให้กินวันละ 2 ครั้ง หว่านให้กินทั่วบ่อโดยเฉพาะในบริเวณขอบบ่อ เมื่อลูกปลามีขนาดโตขึ้นความยาวประมาณ 4-7 ซม. สามารถฝึกให้กินอาหารเม็ดได้ หลังจากนั้นเมื่อปลาโตขึ้นจนมีความยาว 15 ซม. ขึ้นไป จะให้อาหารเม็ดเพียงอย่างเดียวหรืออาหารเสริมชนิดต่างๆ ได้เช่น ปลาเป็ดผสมรำละเอียดอัตรา 1:9 หรือ ให้อาหารที่ลดต้นทุน เช่น อาหารผสมบดจากส่วนผสมต่างๆ เช่นกระดูกไก่ ไส้ไก่ เศษขนมปัง เศษเส้นหมี่ เศษเลือดหมู เลือดไก่เศษเกี้ยว หรือเศษอาหารเท่าที่สามารถหาได้ นำมาบดรวมกันแล้วผสมให้ปลากิน แต่การให้อาหารประเภทนี้จะต้องระวัง เรื่องคุณภาพของน้ำในบ่อเลี้ยงให้ดีเมื่อเลี้ยงปลาได้ประมาณ 2 เดือน ปลาจะมีขนาดประมาณ 124 กรัม/ตัว ซึ่งผลผลิตที่ได้จะประมาณ 10 กก./บ่อ อัตรารอดตายประมาณ 80%



สูตรอาหารปลาดุก  อย่างง่ายที่เกษตรกรสามารถหาวัตถุดิบได้ในพื้นที่ สามารถทำได้เอง จะสามารถลดต้นทุนการเลี้ยงได้กว่าร้อยละ 50 โดยมีขั้นตอนง่ายๆ ในการทำอาหารปลาดุกจำนวน 10 กิโลกรัม มีอัตรส่วนผสมของวัตถุดิบดังนี้

  • ปลาป่น 1  กิโลกรัม
  • รำอ่อน 1 กิโลกรัม
  • ข้าวโพดบด 1 กิโลกรัม
  • ปลายข้าวบด 1 กิโลกรัม

ขั้นตอนที่ 5 การจำหน่าย

  • ก่อนจะจำหน่าย 2 วัน ให้นำดินลูกรังสีแดงหรือซังข้าวมาแช่ไว้ในบ่อ จะทำให้ปลาดุกมีสีเหลืองสวย ขายได้ราคาดี
  • ปลาดุก 3 เดือนครึ่ง จำนวน 70 ตัว จะมีน้ำหนัก 14-15 กิโลกรัม หรือประมาณ 4-5 ตัว/กิโลกรัม จำหน่ายได้กิโลกรัมละ 60-70 บาท
  • ต้นทุนอาหารกิโลกรัมละ 19-20 บาท หมายเหตุ ต้นทุนครั้งแรก 1 ชุด 430 บาท น้ำที่ถ่ายทิ้งจากบ่อปลาสามารถนำมารดต้นไม้ พืชผักสวนครัว เป็นปุ๋ยอย่างดี

โรคของปลาดุก

ในกรณีที่มีการป้องกันอย่างดีแล้วแต่ปลาก็ยังป่วยเป็นโรค ซึ่งมักจะแสดงอาการให้เห็น โดยแบ่งอาการของโรคเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

  • การติดเชื้อจากแบคทีเรีย จะมีการตกเลือด มีแผลตามลำตัว และ ครีบกร่อน ตาขุ่น หนวดหงิก กกหูบวม ท้องบวม มีน้ำในช่องท้อง กินอาหารน้อยลงหรือไม่กินอาหาร ลอยตัว
  • อาการจากปรสิตเข้าเกาะตัวปลา จะมีเมือกมาก มีแผลตามลำตัว ตกเลือด ครีบเปื่อย จุดสีขาวตามลำตัว สีตามลำตัวซีดหรือเข้มผิดปกติเหงือกซีดว่ายน้ำทุรนทุราย ควงสว่านหรือไม่ตรงทิศทาง
  • อาการจากอาหารมีคุณภาพไม่เหมาะสม คือ ขาดวิตามินบีกระโหลกร้าว บริเวณใต้คางจะมีการตกเลือด ตัวคด กินอาหารน้อยลง ถ้าขาดวิตามินบีปลาจะว่ายน้ำตัวเกร็งและชักกระตุก
  • อาการจากคุณภาพน้ำในบ่อไม่ดี ปลาจะว่ายน้ำขึ้นลงเร็วกว่าปกติครีบกร่อนเปื่อย หนวดหงิก เหงือกซีดและบวม ลำตัวซีด ไม่กินอาหาร ท้องบวม มีแผล
    ตามตัว

อนึ่ง ในการรักษาโรคปลาควรจะได้พิจารณาให้รอบคอบก่อนการตัดสินใจเลือกใช้ยาหรือสารเคมีสาเหตุของโรค ระยะรักษา ค่าใช้จ่ายในการรักษา

แหล่งที่มา : Sarakaset.com


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

(คลิป) เลี้ยงอึ่งเผ้า อึ่งปากขวด ด้วยกระชังบกแบบง่ายๆ ประหยัดต้นทุน

เลี้ยงอึ่งเผ้า อึ่งปากขวด การทำกระชังบกเพื่อเลี้ยงอึ่งด้วยวิธีง่ายๆ ประหยัดต้นทุน

เลี้ยงอึ่งเผ้า อึ่งปากขวด





อึ่งเผ้า เป็นอึ่งที่ถือว่าเริ่มหาได้ยากแล้วในธรรมชาติ นำมาทำเมนูอาหารป่าได้อย่างสุดแซ่บและอร่อยของพี่น้องทางภาคอีสาน ซึ่งจะหากินได้แค่ฤดูฝนเท่านั้น ราคาก็ไม่เบาเลยสูงถึงกิโลกรัมละ 250-300 บาท เลยทีเดียว ด้วยการที่เป็นที่นิยมกินกันมาก ทำให้ประชากรอึ่งเผ้าในธรรมชาติเริ่มลดลงและกำลังขาดตลาด การเพาะเลี้ยงอึ่งเผ้าขายจึงถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่กำลังมาแรงในตอนนี้

เลี้ยงอึ่งเผ้า อึ่งปากขวด

ลักษณะอึ่งเผ้า

อึ่งเผ้า มีลักษณะเฉwาะตัวคือ มีความยาวจากหัวจsดถึงก้นประมาณ 73 มิลลิเมตร ลำตัวอ้วนป้อม มีลักษณะเด่น คือ หน้าสั้นมาก ปากแคบและทู่ ไม่มีฟัน ไม่เหมือนกับกบหรืออึ่งอ่างชนิดอื่นๆ ตาเล็ก ขาสั้น แผ่นเยื่อแก้วหูเห็นไม่ชัด ลำตัวสีน้ำตาลดำหรือสีเทาดำ ใต้ท้องสีขาว บางตัวอาจมีจุดกsะสีเหลืองกsะจายอยู่ทั่ว เท้าทั้ง 4 ข้างมีพังผืดเกาะติดอยู่ ใช้สำหรับว่ายน้ำ และมีสันใต้ฝ่าเท้าหลังใช้สำหรับขุดดิน

เจ้าอึ่งชนิดนี้มันจะชอบขุดโwรงดินเพื่ออยู่อาศัย ที่เป็นดินปนทรายและอาศัยอยู่ภายในป่าที่มีความชุ่มชื้นใกล้กับพื้นที่ชุ่มน้ำ ในฤดูร้อนจะซ่อนตัวในโwรงแทบตลอด เมื่อฝนตกจะออกมาหากิน โดยหากินในเวลากลางคืน

พ่อพันธุ์แม่พันธุ์อึ่งนั้น สามารถรวบรวมได้จากธรรมชาติ บริเวณป่าเต็งรัง ป่าโปร่ง ช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงเดือนมิถุนายน (พบมากในช่วงฝนตกหนักครั้งแรกของฤดูฝน) เมื่อรวบรวมมาได้แล้วให้คัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ดังนี้

เพศผู้

  • ลำตัวมีสีดำเข้มข้างตัวมีลายดำจุดขาว
  • ลำตัวเล็ก และ ยาวกว่าเพศเมียฃ

เพศเมีย

  • ลำตัวสั้น และ ใหญ่กว่าตัวผู้
  • ข้างตัวมีลายจุดขาวอมเหลือง ผนังท้องบางมองเห็นไข่
  • ตัวเมียที่มีไข่เต็มท้องโดยหงายดูที่ท้องจะเห็นไข่ลักษณะสีดำ

การให้อาหารลูกอ๊อด

ใน 3 วันแรก ลูกอ๊อดไม่กินอาหาร เมื่อลูกอ๊อดอายุ 4 วัน เริ่มให้ไข่แดงต้มสุกบดให้ละเอียดวันละ 1 ครั้ง ในตอนเช้าประมาณ 1/4 ฟองต่ออ่าง เมื่อลูกอ๊อดอายุ 7 วัน เริ่มให้อาหารปลาดุกเล็กโปรตีน 32 เปอร์เซ็นต์ 100 กรัมต่ออ่าง ให้วันละ 1 ครั้ง จนลูกอ๊อดอายุประมาณ 45 วัน หางลูกอ๊อดเริ่มหลุด หลังจากลูกอ๊อดหางหลุดอึ่งจะพัฒนาเหมือนตัวเต็มวัย และจะออกจากอ่างลงบนพื้นทรายในบ่อประมาณ 3 วัน อึ่งจะฝังตัวในทรายบนพื้นบ่อ กรณีให้อาหารเสริม เช่น ปลวก และแมลง ให้เปิดสปริงเกอร์วันละ 1 ครั้ง และเปิดไฟล่อแมลงในบ่อตอนกลางคืน




วิธีการจับอึ่งจากการเพาะเลี้ยง

  • โดยการนำแผ่นสังกะสีวางบนหลังคาที่คลุมด้วย สแลนต์แล้วจึงใช้น้ำฉีดที่แผ่นสังกะสี(เป็นการเลียนแบบฝนตก) อึ่งเผ้าที่ฝังตัวอยู่ในทรายจะออกมา
  • ปล่อยให้น้ำท่วมพื้นบ่อ อึ่งจะขึ้นมาบริเวณผิวน้ำสามารถคัดขนาดได้ตามต้องการ

ฝากกดไลค์ กดแชร์ ติดตามช่องได้ที่
ที่มา Youtube Channel : สุทธิชาติ การ์เด็นท์
คลิปhttps://www.youtube.com/watch?v=kMpfm42UoYw 


บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

(คลิป) อาจารย์สมโภชน์ คนบ้า อย่างมีอารยะ : มหาอำนาจบ้านนา

อาจารย์สมโภชน์ คนบ้า อย่างมีอารยะ : มหาอำนาจบ้านนา


“อาจารย์สมโภชน์” หรือ อาจารย์กิ๊ก เจ้าของพื้นที่กลางเมือง 50 ไร่ อดีตรับราชการเกี่ยวกับสัตวบาลนานกว่า 27 ปี ด้วยแนวคิดที่ต้องการจะสร้างบ้านนอกกลางกรุงเทพฯ และริเริ่มวางรากฐานการทำเกษตรมาตั้งแต่ปลายชีวิตข้าราชการ อาจารย์กิ๊กจึงปฏิเสธเม็ดเงินมหาศาลที่มีผู้เสนอเข้ามาแลกกับการขายพื้นที่ จากความทุ่มเทประกอบกับนิสัยที่ชอบทดลองอะไรใหม่ ๆ อยู่เสมอ ทำให้พื้นที่แห่งนี้อุดมไปด้วยพืชผักนานาชนิดรวมถึงระบบบำบัดน้ำที่ยอดเยี่ยม

อ.สมโภชน์ ทับเจริญ กับพื้นทีกลางกรุง 50 ไร่ มูลค่า 1,500 ล้าน ไม่ขาย แต่มีไว้ทำเกษตร

ที่มา : อาจารย์สมโภชน์ คนบ้า อย่างมีอารยะ : มหาอำนาจบ้านนา




บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

(คลิป) การทำปุ๋ยหมักนมแพะ สูตรลับฉบับบ้านนา

(คลิป) การทำปุ๋ยหมักนมแพะ สูตรลับฉบับบ้านนา


แพะ ถือเป็นสัตว์ที่น่าเลี้ยงน่าสนใจน่าศึกษาอีกประเภทหนึ่งน่ะครับ เพราะว่าสามารถเลี้ยงเพื่อขายได้ทั้งเนื้อ นม ขน หรือแม้กระทั่งเขา แถมราคายังดีอีกด้วย แพะเป็นสัตว์เลี้ยงที่เชื่องที่สุดในจำนวนสัตว์ชนิดที่ใกล้เคียงกันและตอนนี้ก็เป็นที่นิยมเลี้ยงกันในกลุ่มเกษตรกรในแต่ละพื้นที่ มีทั้งเลี้ยงแบบเป็นรายได้เสริมและเลี้ยงแบบเป็นอาชีพหลักเปิดเป็นฟาร์มเลยก็มี และที่สำคัญในเรื่องการทำตลาดแพะสามารถทำได้หลากหลายช่องทาง เช่น แพะสวยงาม นำไปประกอบอาหารและผลิตลูกพันธุ์ดีให้กับผู้ที่สนใจเลี้ยงต่อไป เพราะแพะสามารถให้ลูกได้ไว โดย 2 ปี อาจผลิตลูกได้เฉลี่ย 3-4 ครอก จึงได้ผลตอบแทนและคืนทุนให้กับผู้เลี้ยงได้ไม่ยาก 

ปุ๋ยหมักนมแพะชีวภาพ เห็นส่วนผสมมีไม่เยอะแบบนี้แต่ประโยชน์มีจนล้น เพราะสามารถทำให้พืชใบเขียวสวย เร่งการเจริญเติบโตและรากให้แข็งแรงขึ้นอีกด้วย ถ้าหากไม่มีนมแพะ สามารถนำนมอย่างอื่นมาใช้แทนได้ตามสูตรส่วนผสมนี้ รับรองว่าพืชของคุณจะเห็นผลอย่างแน่นอน

สิ่งที่ต้องเตรียม

  • นมแพะ 1 ลิตร
  • น้ำเปล่า 3 ลิตร
  • กากน้ำตาล 1 ลิตร
  • พด.2 1 ซอง

วิธีทำ

ใส่น้ำในภาชนะผสม ใส่กากน้ำตาล ตามด้วย พด.2 แล้วใส่นมลงไป คนให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ 7 วัน

การใช้

ปุ๋ยหมักนมแพะ 30 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร นำไปฉีดพ่นพืชและผัก สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

ที่มา: การทำปุ๋ยหมักนมแพะ : สูตรลับฉบับบ้านนา




บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

(คลิป) ปุ๋ยไส้เดือน เร่งดอกให้ออกผลด้วยฉี่ไส้เดือน รายการสูงเตี้ยเรี่ยดิน


(คลิป) ปุ๋ยไส้เดือน เร่งดอกให้ออกผลด้วยฉี่ไส้เดือน รายการสูงเตี้ยเรี่ยดิน


ปุ๋ยไส้เดือน หรือ ปุ๋ยหมักมูลไส้เดือน เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของเกษตรอินทรีย์ เนื่องจากนำไส้เดือนดิน สัตว์ตัวเล็กที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศน์ มาเลี้ยงเพื่อเปลี่ยนองค์ประกอบและเพิ่มจุลินทรีย์ จนทำให้ได้ปุ๋ยหมักที่มีประสิทธิภาพ สามารถบำรุงต้นไม้ได้อย่างยอดเยี่ยม



โดยปุ๋ยไส้เดือนมีลักษณะเป็นเศษอินทรีย์วัตถุที่ไส้เดือนดินกินเข้าไป แล้วย่อยสลายออกมาเป็นมูลที่มีประโยชน์ รูปทรงเป็นเม็ดร่วน สีดำหรือสีน้ำตาล โปร่งเบา จุความชื้นสูง ระบายน้ำและระบายอากาศดี แถมมีธาตุอาหารและปริมาณอินทรีย์วัตถุมาก

ข้อดี, ประโยชน์ของมูลไส้เดือน

  • เพิ่ม อินทรียวัตถุให้กับดินของคุณ มูลไส้เดือนจะช่วยเพิ่มปริมาณ จุลินทรีย์ที่ดีในดิน
  • เพิ่ม ความสามารถในการแลกเปลี่ยนประจุบวก หรือ CEC ( Cation exchange capacity ) ให้กับดินของคุณ ค่า CEC จะเป็นตัววัด
    ความอุดมสมบูรณ์ในดินของคุณ ยิ่งค่านี้สูงก็ยิ่งดี
  • ปรับความสมดุล ของ ค่า PH หรือ ค่าความเป็นกรด-ด่างในดินของคุณ เนื่องจาก มูลไส้เดือน มีค่า PH เป็นกลาง
  • เพิ่ม การระบายอากาศในดิน เนื่องจากมูลไส้เดือนมีรูปร่างเป็นเม็ดละเอียด การระบายอากาศที่ดี คือคุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งของดินที่ดี
  • ช่วยให้ดิน เก็บน้ำ/ความชื้นได้ดีขึ้น เนื่องจาก มูลไส้เดือนสามารถดูดซับน้ำได้ดีราวกับฟองน้ำเลยทีเดียว
  • เพิ่มแร่ธาตุที่พืชต้องการ และที่แร่ธาตุเหล่านี้จะอยู่ในสภาวะ ที่พืชสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที
  • ช่วยให้ดิน ร่วนซุยมากขึ้น
  • ลดการพังทลายของดิน เนื่องจาก ดินสามารถ เก็บน้ำได้มากขึ้นดีขึ้น
  • ช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดิน
  • ช่วยลดปัญหา หน้าดินแห้งแข็ง




ข้อเสียของปุ๋ยมูลไส้เดือน

  • มูลไส้เดือน มีค่า PH อยู่กลางๆ พืช บางชนิด ที่ชอบความเป็นกรด อาจจะไม่ชอบมูลไส้เดือนเท่าไหร่
  • การผลิตมูลไส้เดือน ต้องการ เวลา และการเอาใจใส่ จากผู้ผลิต มากกว่า ปุ๋ยอินทรีย์ทั่วๆไป
    เช่น ต้องคอย ตรวจตรา ความเป็นอยู่ของไส้เดือน คอยป้องกัน ศัตรูของไส้เดือน คอย เช็คอุณหภูมิและความชื้น ของเบดดิ้ง
  • ความสะอาด ผลิตไม่ถูกต้อง ที่เลี้ยงสกปรก ปราศจากการดูแลเอาใจใส่ อย่างถูกวิธี อาจจะทำให้ มูลไส้เดือน สกปรก และปนเปื้อนเชื้อโรคได้
  • ความยากและต้นทุนในการผลิต หากผลิตเล็กๆน้อยๆไว้ใช้ในครัวเรือน ไม่ใช่ปัญหา แต่ สำหรับ การผลิตมูลไส้เดือนในปริมาณมาก ให้ได้คุณภาพ นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ต้องมีการลงทุน มากกว่าแค่ กะละมังซักผ้า เช่น แรงงานคน , เครื่องจักรร่อนมูลไส้เดือน ที่มีราคาแพง
  • เห็นผลไม่ไวเท่า ปุ๋ยเคมี หากเกษตกร หรือ ผู้ปลูกต้นไม้ ต้องการ ธาตุบางชนิด โดยเฉพาะ การเลือกใช้ปุ๋ยเคมี ที่มีสูตรเคมีบางชนิด ตามที่ต้องการ อาจจะตอบโจทย์มากกว่า
  • วัดคุณภาพยากมาก จากการมองด้วยตาเปล่าเพียงอย่างเดียว ผู้ซื้อควรเลือกซื้อจาก ผู้ผลิตมูลไส้เดือน ที่มีความน่าเชื่อถือ มีมาตรฐานการผลิต เท่านั้น

ที่มา : luckyworm.net,sarakaset.com, รายการสูงเตี้ยเรี่ยดิน EP.77


บทความอื่นๆที่น่าสนใจ

แนวทางการสร้างคอกเลี้ยงแพะราคาประหยัด จากวัตถุดิบรอบตัว

แนวทางการสร้างคอกเลี้ยงแพะราคาประหยัด จากวัตถุดิบรอบตัว

แนวทางการสร้างคอกเลี้ยงแพะราคาประหยัด




โรงเรือนและอุปกรณ์ในการเลี้ยงแพะ
แพะก็เหมือนสัตว์เลี้ยงอื่นๆ คือจะต้องมีสถานฟที่สำหรับแพะได้พักอาศัยหลบแดด หลบฝน หรือเป็นที่สำหรับนอนในเวลากลางคืน การสร้างโรงเรือนที่ใช้เลี้ยงแพะควรยึดหลักต่อไปนี้

  1. พื้นที่ตั้งของคอก
    คอกแพะควรอยู่ในที่เนินน้ำไม่ท่วมขัง แต่ถ้าหากพื้นที่ที่ทำการเลี้ยงแพะมีน้ำท่วมขังเวลาฝนตก ก็ควรสร้างโรงเรือนแพะให้สูงจากพื้นดินตามความเหมาะสม แต่ทางเดินสำหรับแพะขึ้นลงไม่ควรมีความสูงลาดสูงกว่า 45 องศา เพราะหากสูงมากแพะจะไม่ค่อยขึ้นลง พื้นคอกที่ยกระดับจากพื้นดินควรให้เป็นร่อง โดยใช้ไม้หนาขนาด 1 นิ้ว กว้าง 2 นิ้ว ปูพื้นให้เว้นร่องระหว่างไม้แต่ละอันห่างกันประมาณ 1.5 เซนติเมตร หรืออาจจะใช้พื้นคอนกรีต โดยปูพื้นคอกแพะด้วยสแลตที่ปูพื้นคอกสุกรก็ได้ พื้นที่เป็นร่องนี้จะทำให้มูลของแพะตกลงข้างล่าง พื้นคอกจะแห้งและสะอาดอยู่เสมอ
  2. ผนังคอก
    ผนังคอกแพะควรสร้างให้โปร่ง เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้ดี ผนังคอกควรความสูงไม่ต่ำกว่า 1.5 เมตร ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้แพะ กระโดดหรือปีนข้ามออกไปได้
  3. หลังคาโรงเรือน
    แบบของหลังคาโรงเรือนเลี้ยงแพะมีหลายแบบ เช่น เพิงหมาแหงน หรือ แบบหน้าจั่ว เกษตรกรที่จะสร้างควรเลือกแบบที่คิดว่าเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ และทุนทรัพย์ หลังคาโดยปกติมักจะสร้างให้สูงจากพื้นคอกประมาณ 2 เมตร ไม่ควรสร้างโรงเรือนให้หลังคาต่ำเกินไป เพราะอาจจะทำให้ร้อนและอากาศถ่ายเทไม่ดี สำหรับวัสดุที่ใช้มุงหลังคาจะใช้จาก หรือแฝก หรือสังกะสีก็ได้
  4. ความต้องการพื้นที่ของแพะ
    แพะมีความต้องการพื้นที่ในการอยู่อาศัยในโรงเรือนประมาณตัวละ 1 ตารางเมตร ส่วนใหญ่ผู้เลี้ยงมักแบ่งภายในโรงเรือนประมาณตัวละ 1 ตารางเมตร ส่วนใหญ่ผู้เลี้ยงมักแบ่งภายในโรงเรือนออกเป็นคอกๆแต่ละคอกขังแพะรวมฝูงกันประมาณ 10 ตัว โดยคัดขนาดของแพะ ให้ใกล้เคียงกันขังรวมฝูงกัน แต่ถ้าหากเห็นว่าสิ้นเปลืองค่าก่อสร้างก็อาจขังแพะรวมกันเป็นฝูงใหญ่ในโรงเรือนเดียวกัน โดยแบ่งเป็นคอกๆก็ได้
  5. รั้วคอกแพะ
    เกษตรกรบางรายเลี้ยงแพะไว้ในโรงเรือนและมีบริเวณสำหรับให้แพะเดินรอบโรงเรือน บริเวณเหล่านี้จะทำรั้วล้อมรอบป้องกันไม่ให้แพะออกไปภายนอกได้ รั้วที่ล้อมรอบโรงเรือนแพะไม่ควรใช้ลวดหนามเป็นวัสดุ เพราะแพะเป็นสัตว์ซุกซน อาจได้รับอันตรายจากลวดหนามได้ รั้วควรจะสร้างด้วยไม้ไผ่หรือลวดตาข่าย ทุกระยะ 3-4 เมตร จะมีเสาปักเพื่อยึดให้รั้วแข็งแรง หากจะสร้างรั้วให้ประหยัดอาจใช่กระถินปลูกเป็นแนวรั้วปนกับใช้ไม้ไผ่ก็จะทำให้รั้วไม้ไผ่คงทนและใช้งานได้นาน โดยระยะแรกสร้างรั้วไม้ไผ่แล้วปลูกกระถินเป็นแนวข้างรั้วไผ่ เมื่อกระถิ่นโตขึ้นก็จะเป็นรั้วทดแทนต่อไป
    บทความอื่นที่น่าสนใจ

ที่มา : Sarakaset.com




บทความอื่นๆที่น่าสนใจ