เลี้ยงหอยขมระบบน้ำใสในวงบ่อซีเมนต์ แบบระเอียดสำหรับมือใหม่

เลี้ยงหอยขมระบบน้ำใสในวงบ่อซีเมนต์ แบบระเอียดสำหรับมือใหม่

เลี้ยงหอยขมระบบน้ำใสในวงบ่อซีเมนต์

เลี้ยงหอยขมระบบน้ำใสในวงบ่อซีเมนต์





การเลี้ยงหอยขมถือว่าเป็นอีกหนึ่งอาชีพเสริมที่สามารถสร้างรายได้ให้กับคนในครอบครัว  และเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากมาย ในวันนี้เราจะขอนำเสนอ เลี้ยงหอยขมระบบน้ำใสในวงบ่อซีเมนต์ มาฝากกัน สำหรับใครที่สน ใจและกำลังมองหาวิธีการสร้างรายได้ให้กับ ครอบครั ว ก็ลองศึกษาแล้วทำตามได้เลย

เลี้ยงหอยขมระบบน้ำใสในวงบ่อซีเมนต์

แม้ว่าในปัจจุบันเราสามารถหาหอยขมได้ตามแหล่งน้ำธรรมชาติได้อยู่ แต่ในบางพื้นก็เริ่มหายากและไม่พอต่อการบริโภคแล้ว ถึงเป็นเหตุผลให้มีการเพาะเลี้ยงหอยขมเพื่อการจัดจำหน่ายกันมากขึ้นโดยการเลี้ยงหอยขมนั้นเลี้ยงง่ายและสร้างรายได้ดีทีเดียว

ลักษณะทั่วไปของหอยขม

หอยขม เป็นหอยฝาเดียว อาศัยในน้ำจืด จะมีขนาดเล็ก มีเปลือกเป็นเกลียวกลมยอดแหลม เปลือกหนาและแข็งมาก บริเวณผิวชั้นนอกของหอยขมเป็นสีเขียวแก่ ฝาปิดเปลือกจะเป็นแผ่นกลม ตีนใหญ่ จะงอยปากจะสั้นทู่ ตาของหอยขมมีสีดำอยู่บริเวณตรงกลางระหว่างโคนหนวด ในส่วนของหอยขมตัวผู้นั้นมีหนวดเส้นข้างขวาพองโตกว่าเส้นข้างซ้าย เป็นลักษณะพิเศษของหอยขมเลยก็ว่าได้ หอยขมจะมีอวัยวะเพศที่พิเศษ

หอยขม

เนื่องจากมีอวัยวะเพศทั้งผู้และเพศเมียอยู่ในตัวเดียวกัน หอยขมจะเป็นหอยที่ออกลูกเป็นตัว และผสมพันธุ์ได้ด้วยตัวของมันเอง ในระบบการย่อยอาหารหรือทางเดินอาหารของหอยขมแบ่งเป็น 3 ส่วน หลอดอาหารส่วนต้น หลอดอาหารส่วนกลาง และหลอดอาหารส่วนท้าย ซึ่งทางเดินอาหารจะบิดขดเป็นเกลียว บริเวณของหลอดอาหารส่วนต้นนั้น จะเริ่มต้นตั้งแต่จะงอยปาก ช่องปาด และหลอดกระเพาะอาหาร โดยที่จะงอยปากจะมีลักษณะเป็นกล้ามเนื้อที่มีหูรูด ส่วนบริเวณช่องปากนั้นตะมีฟันเป็นแผ่นๆคล้ายกระดูกอ่อน เป็นซี่เล็กๆ ซึ่งทำหน้าที่เป็นฟันในการบดเคี้ยวอาหาร ต่อไปก่อนถึงหลอดกระเพาะอาหารจะมีลักษณะเป็นแผ่นเนื้อคล้ายลิ้นที่ทำหน้าที่กั้น และกวาดอาหารให้ออกหรือเข้าภายในประเพาะอาหาร ส่วนหลอดกระเพราะอาหารเป็นสำหรับเป็นที่พักของอาหารที่ผ่านการบดเคี้ยวมาแล้ว มีลักษณะคล้ายกระเปราะ ส่วนถัดไปจะเป็นลำไส้ ซึ่งจัดเป็นทวารหนัก ซึ่งจะมีขนาดใหญ่มีมากกว่าส่วนอื่นๆ อวัยวะส่วนที่สำคัญเช่นกันคือ หัวใจของหอยขมจะอยู่บริเวณข้างถุงปอด และไต โดยหัวใจจะมีเส้นเลือดใหญ่ และเส้นเลือดฝอยที่คอยส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ระบบหายใจของหอยขมจะมี 2 ส่วน คือ ส่วนแรกจะเป็นแผงเหงือกที่มีลักษณะคล้ายใบไม้ขนาดเล็กอยู่บริเวณช่องรอบหัวใจ ส่วนอวัยวะอีกอันที่ใช้หายใจ คือ เยื่อบางๆบริเวณแมนเติลที่มีเส้นเลือดมาเลี้ยงมากมาย และมีถุงเล็กๆที่ทำหน้าที่แทนปอดได้ ส่วนของระบบประสาทของหอยขม จะประกอบด้วยเส้นประสาทจำนวนทั้งหมด 6 คู่ ที่แตกแขนงไปทั่วส่วนต่างๆของร่างกายหอยขม ซึ่งอวัยวะที่มีเส้นประสาทรับความรู้สึกอยู่ ได้แก่ แผ่นเท้า หนวด จะงอยปาก และลูกตา




ขั้นตอนในการเตรียมบ่อซีเมนต์สำหรับเลี้ยงหอยขม

การเตรียมบ่อในการเลี้ยงหอยขม สำหรับบ่อปูนกลมการเตรียมบ่อใหม่ ก็จะทำการฆ่าเชื้อและกลิ่นของปูน เหมือนกันกับการเตรียมบ่อ เลี้ยงกุ้งฝอย

  • เลือกวงบ่อซีเมนต์ ตามขนาดที่ต้องการหรือให้เหมาะสมกับพื้นที่เลี้ยง เพื่อความสะดวกสบายในการบริหารจัดการ  เมื่อเลือกขนาดบ่อซีเมนต์สำหรับใช้เลี้ยงหอยขมได้แล้ว ทำการปรับพื้นที่ให้เหมาะสมและวางแนวของบ่อซีเมนต์ ตามเหมาะสม ตามด้วยทำการเทพื้นปูนต์ก้นบ่อให้เรียบร้อย ควรมีการวางระบบระบายน้ำออกด้วยเพื่อสะดวกในการเปลี่ยนถ่ายน้ำใหม่
    เลี้ยงหอยขมบ่อซีเมนต์
  • กรณีที่เป็นบ่อใหม่ ให้ใส่น้ำให้เต็มบ่อปูนแล้วตัดต้นกล้วย ใส่ลงไปแช่ในบ่อผ่าเป็นซึกกลางแล้วตัดเป็นท่อนๆ แช่ไว้ในบ่อประมาณ 15-25 วันเป็นอย่างน้อย เพื่อลดค่าความเป็นด่างของปูนต์ที่เราเทพื้น
  • เมื่อแช่ต้นกล้วยในบ่อครบกำหนดแล้ว ให้ทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำที่เราแช่ต้นกล้วยจากออกจากบ่อปูนให้หมด ล้างทำความสะอาดให้ดี แล้ว ใส่น้ำลงไปให้เต็มบ่อปูน  พักน้ำไว้ 1 วัน น้ำที่ใช้ถ้าเป็นน้ำปะปาก็จะมีดีกว่าน้ำบาดาล แต่ว่าก็จะมีข้อเสียคือมีคลอรีนเพราะฉนั้นจึงจำเป็นต้องแช่บ่อเพื่อให้คลอรีนเจือจางก่อน
  • ต่อมาก็ให้เราหาพืชน้ำในท้องท้องถิ่นของเรามาลงบ่อเพื่อประหยัดต้นทุน แต่ก่อนที่เราจะนำพืชน้ำต่างที่หามาลงในบ่อควรล้างให้สะอาดก่อนนำมาใส่ในบ่อ เพื่อป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ที่ติดมากับพืชที่จะนำมาใส่
    เลี้ยงหอยขม
  • เพียงเท่านี้ก็เราก็เสร็จเรียบร้อยสำหรับขั้นตอนในการเตรียมบ่อซีเมนต์สำหรับเลี้ยงหอยขมระบบน้ำใสในวงบ่อซีเมนต์แล้วครับ ขั้นนอนต่อมา ก็เป็นการหาหอยขมมาปล่อยในบ่อได้เลย  สำหรับหอยขมที่จะนำมาลงเลี้ยงนั้น หาได้ง่ายๆ ตามแหล่งธรรมชาติทั่วไป หรือเลือกซื้อตามตลาดที่แม่ค้าพ่อค้านำมาขาย ซึ่งจะทดลองเลี้ยงจากการซื้อมา 1-2 กิโลกรัม ก่อนก็ได้ แล้วค่อยขยายไปบ่ออื่นๆ ต่อไป

“การเลี้ยงหอยขมระบบน้ำใสในวงบ่อซีเมนต์ นั้นไม่ต้องใส่ดินลงในบ่อเหมือนการเลี้ยงทั่วไป เพื่อให้นำใส่ตลอด”

อัตราการปล่อยหอยขม

ปล่อยหอยขมลงในบ่อกลม  ประมาณ 60-100  ตัว ต่อบ่อ  เลือกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่ตัวใหญ่ๆ ไว้ก็จะเป็นการดี หาได้ตามแหล่งน้ำธรรมชาติหรือซื้อได้ตามชาวบ้านที่หามาขายตามตลาดเราก็คัดเอา  ตัวสวยๆ



อาหารสำหรับเลี้ยงหอยขมระบบน้ำใส

สำหรับอาหารที่ใช้เลี้ยง หอยขม นั้นเนื่องจากการเลี้ยงเป็นระบบน้ำใส การให้อาหารจึงเน้นไปทางอาหารเม็ดเป็นหลังเพราะจะทำใหระบบน้ำในการเลี้ยงใสอยู่ตลอดเวลา ในที่เราใช้ อาหารกุ้ง เป็นหลัก ซึ่งในอาหารกุ้งนั้น จะมีโปรตีนถึง 40% จะทำให้หอยขมที่เราเลี้ยงนั้นเจริญเติบโตได้ไว และตัวอ้วนน่ารับประทาน หรือ ข้าวสวยก็ได้ (ซื้อมา 10 บาท) ตำให้ละเอียด ปั้นเป็นลูกเล็กขนาดเท่าหัวแม่มือ ในการให้อาหารนั้นควรจะให้พอดีกับหอยในบ่อ ไม่ควรให้มากเกินไป เพราะจะทำให้ระบบน้ำเน่าเสียได้ ที่สำคัยควรมีการเปลี่ยนน้ำ เมื่อเห็นว่ามีมูลหอยขม ที่ก้นบ่อมากเกินไป ระยะเวลาในการให้อาหารหอยขมนั้น วันล่ะครั้งก้เพียงพอแล้วครับ จะเช้าหรือเย็นก็ได้เอาที่เราสะดวกเลยครับ

ระยะเวลาการเลี้ยงประมาณ 2 เดือน ได้เริ่มจับขาย แต่ต้องทยอยจับ เพราะหอยขมโตไม่เท่ากัน และมีหลายขนาด ควรเลือกหอยที่โตเต็มที่ก่อน ส่วนตัวเล็กยังคงต้องเลี้ยงต่ออีกระยะหนึ่งจึงจะจับขายได้ ครั้งหนึ่งจะจับขายประมาณ 30-50 กิโลกรัม ราคาขายจะอยู่ที่ 50-60 บาท นับได้ว่าเป็นรายได้ดีเลยทีเดียว

เลี้ยงหอยขมระบบน้ำใสในวงบ่อซีเมนต์

สำหรับหอยขมแลัวไม่ได้นิยมนำเอามาทำแต่อาหารอย่างเดียว สำหรับใครที่อยากเลี้ยงไว้เพื่อไปจำหน่ายให้คนที่เขาชอบสะเดาะเคราะห์ก็มีมากมายตามวัดทั่วไปได้บุญด้วยเป็นอาชีพด้วย  และก็ยังเลี้ยงไม่ยากแถมสร้างรายได้ดีเลยทีเดียว  และถ้าใครชอบทานหอยขมก็มากมายเมนูที่จะคิดสรรกันมาทำ ไม่ว่าจะเป็นตำหอยขม,ยำหอยขม,ซั้วหอยขม,ก้อยสุกหอยขม,ลาบหอยขม,แกงอ่อมหอยขม,แกงคั่วหอยขม,หอยขมผัดฉ่า,หอยขมผัดพริกแกง เมนูเด็ดๆทั้งนั้น ไม่ลองไม่รู้แต่ที่แน่ๆครับ




บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ปุ๋ยอินทรีย์ อีกหนึ่งทางเลือกเกษตรกรยุคปุ๋ยเคมีแพง

ปุ๋ยอินทรีย์ อีกหนึ่งทางเลือกเกษตรกรยุคปุ๋ยเคมีแพง

ปุ๋ยอินทรีย์ อีกหนึ่งทางเลือกเกษตรกรยุคปุ๋ยเคมีแพง

ปุ๋ยอินทรีย์


ปุ๋ย ที่เป็นธาตุอาหารสำหรับพืชแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ปุ๋ยอินทรีย์ และ ปุ๋ยเคมี  ข้อดีของปุ๋ยเคมีคืออุดมไปด้วยสารอาหารที่ครบถ้วนสมบูรณ์ตามที่ต้นไม้ต้องการ แต่ช่วงนี้ปุ๋ยเคมีราคาแพงขึ้น ทำให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรสูงขึ้น ดังนั้นปุ๋ยอินทรีย์จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือก




แล้วปุ๋ยอินทรีย์คืออะไร

     ปุ๋ยอินทรีย์ หมายถึง ปุ๋ยที่ได้หรือผลิตจากวัสดุ อินทรีย์ ได้แก่ ซากพืช ซากสัตว์ รวมทั้งสิ่งขับถ่ายจากสัตว์ และเศษขยะต่าง ๆ ที่เป็นผลิตภัณฑ์ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งผลิตด้วย กรรมวิธี ทําให้ขึ้น สับ หมัก บด ร่อน สกัด หรือ วิธีการอื่น และวัสดุอินทรีย์ถูกย่อยสลายสมบูรณ์โดยกิจกรรมของจุลินทรีย์

ประโยชน์ของปุ๋ยอินทรีย์

  1. ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดิน ทําให้โครงสร้าง ของดินดีขึ้น เช่น ทําให้ดินโปร่ง ร่วนซุย มีการระบายน้ำ การถ่ายเทอากาศดี ทําให้ระบบรากพืชเจริญเติบโตแผ่กระจายในดินได้ดีขึ้น สามารถดูดน้ำและธาตุอาหารในดินไปให้พืชใช้ได้มากขึ้น ช่วยปรับสภาพความเป็นกรดเป็นด่างของดิน ให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช
  2. เป็นแหล่งธาตุอาหารพืชครบถ้วนตามที่พืชต้องการ ทั้งธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และธาตุอาหารเสริม โดยจะค่อย ๆ ปลดปล่อยธาตุอาหารพืชอย่างช้า ๆ และอยู่ในดินได้นาน จึงมีโอกาสสูญเสียน้อยกว่าปุ๋ยเคมี และเมื่อใส่ร่วมกับปุ๋ยเคมีจะช่วยส่งเสริมให้การใช้ปุ๋ยเคมีมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
  3. ช่วยเพิ่มแหล่งอาหารให้แก่จุลินทรีย์ในดิน ทําให้ปริมาณและกิจกรรมของจุลินทรีย์ดินเพิ่มขึ้น ช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุในดินให้แปรสภาพเป็นธาตุอาหารพืชได้มากขึ้น และจุลินทรีย์บางชนิดช่วยยับยั้งจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคพืชได้ด้วย

ปุ๋ยอินทรีย์ อีกหนึ่งทางเลือกเกษตรกรยุคปุ๋ยเคมีแพง

ชนิดของปุ๋ยอินทรีย์   ปุ๋ยอินทรีย์สามารถจําแนกตามแหล่งที่มาได้ 4 ชนิด ได้แก่

  •  ปุ๋ยคอก หมายถึง ปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้จากสิ่งขับถ่ายของ สัตว์ หรือมูลสัตว์ต่าง ๆ เช่น โค กระบือ แกะ ม้า สุกร เป็ด ไก่ ค้างคาว ก่อนนําไปใช้จะต้องหมักไว้ให้เกิดการย่อยสลายก่อนนำไปใช้ โดยทั่วไปจะมีปริมาณธาตุอาหารในโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม อยู่ในปริมาณค่อนข้างต่ำ
  • ปุ๋ยหมัก หมายถึง ปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้จากการหมักวัตถุดิบเหลือทิ้งที่เป็นสารอินทรีย์บางชนิด เช่น แกลบ ใบไม้ กิ่งไม้ เศษอาหาร เกิดจากนำวัตถุดิบเหล่านั้นมากองรวมกัน รดน้ำให้ชื้น ทิ้งไว้ให้จุลินทรีย์ย่อยสลาย โดยสามารถใช้จุลินทรีย์อื่นๆ เช่น กากน้ำตาล, E.M.  ผสมเพื่อเพิ่มขบวนการย่อย จากนั้นนำไปใช้ปรับปรุงดิน
  •  ปุ๋ยพืชสด  เป็นปุ๋ยอินทรีย์ซึ่งได้จากการไถกลบต้น ใบ ดอก และส่วนต่าง ๆ ของพืช โดยเฉพาะพืชตระกูลถั่วไถกลบในระยะช่วงออกดอก จนถึงดอกบานเต็มที่ ซึ่งเป็นช่วงที่มีธาตุไนโตรเจนในลําต้นสูงสุด แล้วปล่อยไว้ให้เน่าเปื่อยผุพัง ย่อยสลายเป็นอาหารแก่พืชที่จะปลูกตามมา พืชตระกูลถั่วที่ใช้เป็นปุ๋ยพืชสด เช่น ถั่วพุ่ม ถั่วเขียว ถั่วพร้า ถั่วมะแฮะ ปอเทือง โสนอัฟริกัน เป็นต้น ปุ๋ยพืชสดนอกจากจะให้ธาตุไนโตรเจนซึ่งเป็นธาตุอาหารหลักแก่พืชแล้ว ยังให้ธาตุอาหารอื่น ๆ ที่จําเป็นแก่พืชด้วย
  • น้ำหมักชีวภาพ  ได้จากการหมักชิ้นส่วนของพืชผัก ผลไม้ หรือ สัตว์ชนิดต่าง ๆ กับกากน้ำตาล และน้ำ ผ่านกระบวนการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ ผลิตภัณฑ์ที่ได้ประกอบด้วยสารต่าง ๆ เช่น ธาตุอาหารพืช ฮอร์โมน กรดอะมิโน กรดฮิวมิก กรดอินทรีย์ เอ็นไซม์ วิตามิน มีผลต่อการส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช กระตุ้นการงอกของราก ช่วยให้พืชแข็งแรง ต้านทานต่อโรคและแมลง ผลผลิตเพิ่มขึ้น สีสันและรสชาติดีกว่าเดิม ช่วยยืดอายุการเก็บรักษาผลผลิต




วิธีการทําสูตรผักและผลไม้

หั่นหรือสับผักและผลไม้ให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ  40 กิโลกรัม ผสมกับกากน้ำตาล 10 กิโลกรัมในถังหมัก ใส่สารละลายสารเร่งซุปเปอร์ พด.2 (เตรียมโดยใช้ จํานวน 1 ซอง ผสมน้ำ 10 ลิตร คนให้เข้ากันประมาณ 5 นาที) ลงในถังหมัก ปิดฝาไม่ต้องสนิท วางในที่ร่ม ในระหว่างการหมัก คน 1-2 ครั้งต่อวัน เพื่อระบายก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ จะเห็นฝ้าขาวเกิดขึ้นซึ่งเป็นเชื้อจุลินทรีย์ และมีกลิ่นแอลกอฮอล์ ถ้าน้ำหมักสมบูรณ์ คราบเชื้อจุลินทรีย์ลดลง ไม่พบฟองก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และกลิ่นแอลกอฮอล์ลดลง

อัตราและวิธีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์

ปุ๋ยคอก และ ปุ๋ยหมัก

  • ข้าว : ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 2 ตันต่อไร่ โดยหว่านให้ทั่วพื้นที่แล้วไถกลบก่อนการปลูกพืช
  • พืชไร่ : ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 2 ตันต่อไร่ โดยโรยเป็นแถวตามแนวปลูกพืชแล้วคลุกเคล้ากับดิน
  • พืชผัก : ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 4 ตันต่อไร่โดยหว่านหัวแปลงปลูกไถกลบขณะเตรียมดิน
  • ไม้ตัดดอก : ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 2 ตันต่อไร่
  • ไม้ผล ไม้ยืนต้น : ใช้ 20 – 50 กิโลกรัมต่อตัน ขึ้นกับอายุของพืช ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในร่องและ กลบด้วยดิน หรือหว่านให้ทั่วภายใต้ทรงพุ่ม

ปุ๋ยพืชสด

  • ระยะเวลาที่เหมาะสมในการไถกลบพืชเพื่อให้ได้ ปุ๋ยพืชสดที่ดี คือระยะออกดอกเต็มที่ ส่วนใหญ่แล้วนิยมใช้ พืชตระกูลถั่ว โดยส่วนใหญ่ จะทําการไถกลบเมื่ออายุระหว่าง 45 – 60 วัน ปล่อยให้เน่า สลายกลายเป็นปุ๋ยประมาณ 2 สัปดาห์ แล้วจึงปลูกพืชหลักตาม

น้ำหมักชีวภาพ

  • ใช้น้ำหมักชีวภาพ 4 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 80 ลิตรต่อไร่ ฉีดพ่นหรือรดลงดินทุก 7-10 วัน

ข้อจํากัดของปุ๋ยอินทรีย์

  • ปุ๋ยอินทรีย์มีธาตุอาหารพืชอยู่น้อย หากต้องการให้พืชได้รับธาตุอาหาร เพื่อยกระดับผลผลิตให้ได้เท่ากับการใช้ปุ๋ยเคมี จะต้องใช้ปุ๋ยอินทรีย์เป็นจํานวนมาก มีค่าใช้จ่ายในการขนส่งสูง และใช้แรงงานในการใส่ปุ๋ยมากกว่าการใส่ปุ๋ยเคมี
  • การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ไม่สามารถปรับแต่งปุ๋ยให้เหมาะสมกับดินและพืชได้ เนื่องจากแหล่งของปุ๋ยอินทรีย์ได้มาจากซากพืชและสัตว์ มีความผันแปรของธาตุอาหารพืชต่าง ๆ ในปุ๋ย ทําให้ไม่สามารถปรับสมดุลของธาตุอาหารพืชในดินได้ เมื่อเปรียบเทียบกับปุ๋ยเคมี
  • ปุ๋ยอินทรีย์บางชนิดอาจมีโลหะหนักหรือสารพิษปนเปื้อน โดยเฉพาะปุ๋ยหมักที่ทําจากขยะที่รวบรวมจากเมืองใหญ่ หรือวัสดุเหลือทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม เมื่อพืชดูดขึ้นไปใช้ คนหรือสัตว์ที่บริโภคผลผลิตนั้น อาจได้รับผลกระทบต่อสุขภาพได้

ข้อควรคำนึง “ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับปุ๋ยเคมี” ดีที่สุด

ที่มาของข้อมูลกรมส่งเสริมการเกษตร





บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

วิธีเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อซีเมนต์ ดูแลง่ายใช้พื้นที่น้อย

วิธีเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อซีเมนต์ ดูแลง่ายใช้พื้นที่น้อย

วิธีเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อซีเมนต์

วิธีเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อซีเมนต์





สวัสดีครับ ในบทความนี้เราจะมาเขียนถึง วิธีเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อซีเมนต์ กันครับ ซึ่งกุ้งนั้น เป็นสัตว์เศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งที่สร้างรายได้ ให้กับ เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงได้เป็นอย่างดี ซึ่งกุ้งนั้นมีมากมายหลายสายพันธุ์และทุกๆสายพันธุ์ล้วนแล้วแต่สามารถสร้างรายได้เป็นอย่างดี สำหรับผู้เพาะเลี้ยง และ กุ้งฝอย ก้เช่นกันถึงตัวจะเล็กแต่ราคาไม่เล็กตามตัวกันเลยนะครับ  กุ้งฝอย เป็นกุ้งที่เลี้ยงง่ายที่สุดในบรรดากุ้งในแต่ละสายพันธุ์ และด้วยที่สภาพตัวที่เล็กทำให้ต้นทุนในการเลี้ยงก็จะถูกกว่า กุ้งสายพันธุ์อื่นมาก แถมยัง เลี้ยงง่าย ขยายพันธุ์ไวอีกต่างหาก ที่สำคัญเป็นที่ต้องการทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง เลี้ยงไม่พอต่อการบริโภค

กุ้งฝอย เป็นกุ้งน้ำจืดขนาดเล็ก พบ ได้ทั่วไปในภูมิภาคของประเทศไทย นำมาทำอาหารได้หลากหลาย เช่น กุ้งเต้น ทอดมันกุ้ง กุ้งฝอยทอด กุ้งฝอยนั้นมีโปรตีนและแคลเซียมรวมถึง สารอาหารอีกจำนวนมากถือว่ามีคุณค่าทางโภชนาการสูง

กุ้งฝอยที่วางขายในท้องตลาดส่วนใหญ่จะจับได้ตามแหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งไม่เพียงพอกับความต้องในปัจจุบัน ทำให้ราคากุ้งฝอยพุ่งสูง นับว่าเป็นสัตว์เศรษฐกิจก็ว่าได้

แต่ปัจจุบันนี้กุ้งฝอย ในธรรมชาติ เริ่มลดน้อยลง เนื่องจากการเสื่อมโทรมของแหล่งน้ำธรรมชาติ บางครั้งมีการใช้กุ้งฝอยเป็นอาหารเลี้ยงอนุบาลลูกปลาเศรษฐกิจ เช่น ปลาบู่ ปลาช่อน ปลากราย และปลาสวยงาม ทำให้เกิดความไม่เพียงพอต่อความต้องการที่มีแนวโน้มสูงมากขึ้น

วิธีและขั้นตอนในการเตรียมบ่อซีเมนต์ก่อนลงกุ้งฝอย

  • เลือกวงบ่อซีเมนต์ ตามขนาดที่ต้องการหรือให้เหมาะสมกับพื้นที่เลี้ยง เพื่อความสะดวกสบายในการบริหารจัดการ  เมื่อเลือกขนาดบ่อซีเมนต์สำหรับใช้เลี้ยงกุ้งฝอยได้แล้ว ก้ให้หาพื้นที่ ๆ เลี้ยง แล้วทำการปรับพื้นที่ให้เหมาะสมและวางแนวของบ่อซีเมนต์ ตามความชอบได้เลยครับ  ตามด้วยทำการเทพื้นปูนต์ก้นบ่อให้เรียบร้อย ควรมีการวางระบบระบายน้ำออกด้วยเพื่อสะดวกในการเปลี่ยนถ่ายน้ำใหม่
    วิธีเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อซีเมนต์
  • ใส่น้ำให้เต็มบ่อปูนแล้วตัดต้นกล้วย ใส่ลงไปแช่ในบ่อผ่าเป็นซึกกลางแล้วตัดเป็นท่อนๆ แช่ไว้ในบ่อประมาณ 15-25 วันเป็นอย่างน้อย เพื่อลดค่าความเป็นด่างของปูนต์ที่เราเทพื้น
    วิธีเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อซีเมนต์
  • เมื่อแช่ต้นกล้วยในบ่อครบกำหนดแล้ว ให้ทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำที่เราแช่ต้นกล้วยจากออกจากบ่อปูนให้หมด ล้างทำความสะอาดให้ดี แล้ว ใส่น้ำลงไปให้เต็มบ่อปูน และใส่เกลือทะเล ลงไปในบ่อปูนประมาณ 1-2 กำมือ พักน้ำไว้ 1 วัน น้ำที่ใช้ถ้าเป็นน้ำปะปาก็จะมีดีกว่าน้ำบาดาล แต่ว่าก็จะมีข้อเสียคือมีคลอรีนเพราะฉนั้นจึงจำเป็นต้องแช่บ่อเพื่อให้คลอรีนเจือจาง และก็เปิดอ๊อกซิเจน เพื่อเพิ่มอากาศให้กับน้ำในบ่อปูน
    วิธีเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อซีเมนต์
  • หลักจากเมื่อได้เตรียมความพร้อมของบ่อปูนซีเมนต์ที่จะใช้สำหรับเลี้ยงกุ้งฝอยของเรา และได้เตรียมน้ำแล้ว ต่อมาก็ให้เราหาพืชน้ำในท้องท้องถิ่นของเรามาลงบ่อเพื่อประหยัดต้นทุ่น แต่ก่อนที่เราจะนำพืชน้ำต่างที่หามาลงในบ่อควรล้างให้สะอาดก่อนนำมาใส่ในบ่อ เพื่อป้องกันเชื้อโรคต่างๆ ที่ติดมากับพืชที่จะนำมาใส่ พร้อมทั้งเปิดอ๊อกซิเจน ช่วยเพิ่มอากาศในน้ำด้วย ในช่วงแรกๆ ที่กุ้งยังไม่ปรับตัว
    วิธีเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อซีเมนต์

เพียงเท่านี้ก็เราก็เสร็จเรียบร้อยสำหรับขั้นตอนในการเตรียมบ่อซีเมนต์สำหรับเลี้ยงกุ้งฝอย ต่อมาก็เป็นการหา พ่อและแม่พันธุ์ กุ้งฝอยที่เราจะนำมาปล่อยลงบ่อ  สำหรับกุ้งฝอยที่จะนำมาลงเลี้ยงนั้น หาได้ง่ายๆ ตามแหล่งธรรมชาติทั่วไป หรือเลือกซื้อตามตลาดที่แม่ค้าพ่อค้านำมาขาย ก็เลือกเอาที่ท้องมีไข่ มาเพาะเลี้ยงไม่เกิน 1 สัปดาห์ ลูกกุ้งก็จะออกมาเดินเต็มบ่อให้เราชื่นชมแล้ว แต่ก่อนที่จะนำกุ้งฝอยลงบ่อ 



วิธีคัดเลือกพ่อ-แม่พันธุ์กุ้งฝอย

การแยกแม่พันธ์กุ้งฝอยนั้นก็ดูไม่ยากนักสำหรับมือใหม่  เมื่อเราได้กุ้งที่มาจากธรรมชาติหรือเพาะเลี้ยง  ให้เราคัดตัวตัวกุ้งฝอยที่ท้องเริ่มมีไข่ ให้คัดออกแยกบ่อ มาไว้อีกบ่อเพื่อจะได้ขยายพันธ์ุ  ซึ่งกุ้งฝอยนั้นจะผสมพันธ์ุกันตลอดทั้งปี และกุ้งฝอย 1 แม่ นั้นจะสามารถออกไข่ได้ ประมาณ 60-80 ฟอง เพราะฉนั้นแล้วจึงจำเป็นต้องคัดแม่กุ้งฝอยที่ท้องมีไข่ออกจากบ่อเดิม และเมื่อแม่กุ้งได้สลัดไข่ออกลงเดินแล้ว ต้องจับแยกแม่กุ้งออกจากบ่อทันทีด้วย เพราะแม่กุ้งจะกินตัวอ่อนของตัวเอง

จากนั้นจึงนำลูกกุ้งที่ อนุบาล มาแล้วประมาณ 1 เดือน ปล่อยลงในบ่อซีเมนต์ อัตรา 30,000-50,000 ตัว เลี้ยงประมาณ 2 เดือน ก็สามารถ จับขายได้ มีอัตรารอด 80% ที่สำคัญการเลี้ยงในบ่อซีเมนต์ ควรช่วยการหายใจด้วยระบบการเติมออกซิเจนด้วยและ ดูความแออัดของจะนวนกุ้งด้วยครับ

เทคนิคอาหารของกุ้งฝอย

  • ต้ม ไข่ให้สุก เอาเฉพาะไข่แดง 2 ฟอง
  • รำอ่อน 3 ขีด ผสมให้เข้ากัน ปั้นเท่ากำปั้น โยนลงไปในบ่อประมาณ 3 ก้อน

หลังจากให้อาหารประมาณ 1 เดือน กุ้งจะวางไข่ ให้สังเกตตอนกลางคืนโดยการนำไฟฉายมาส่องดูว่ากุ้งจะวางไข่หรือไม่ เทคนิค การเร่งกุ้งให้วางไข่ ให้นำสายย า งน้ำประปามาเปิดลงในบ่อ โดยการเปิดแรงๆ ประมาณ 10-20 นาที เพราะ กุ้งชอบเล่นน้ำไหล แล้วจะดีดตั วทำให้ไข่ตกลงมา (ธรรมชาติน้ำนิ่งกุ้งไม่วางไข่) ประมาณ 1-2 เดือน กุ้งก็จะโตเต็มที่ ใ ช้ เวลา ทั้งหมดประมาณ 4 เดือน จะได้กุ้งประมาณ 20-30 กิโลกรัม ราคากิโลกรัมละ 100-200 บาท




ราคาและระยะเวลาในการจับจำหน่าย

ระยะ เวลาในการจับกุ้งฝอยเพื่อจำหน่าย ใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือนก็สามารถสร้างรายได้ให้กับผู้เลี้ยงได้ ทั้งนี้หาก เป็นการเลี้ยงในบ่อดินหรือตามสวนต่างๆจะสามารถ ใ ห้จำนวนการขยายพันธุ์ได้มากกว่าการเลี้ยงในบ่อปูนเพราะมีพื้นที่มากกว่า

โดยอาหารกุ้งฝอยที่เลี้ยงในบ่อดิน สามารถให้ได้แบบเดียวกันกับการเลี้ยงในบ่อปูน ก็ถือเป็นอีกหนึ่งเคล็ดลับสำหรับคนที่มีที่ดินว่างๆ อาจจะลองหันมาเลี้ยงกุ้งฝอยสร้างรายได้ดูบ้างก็ได้ อย่างไรก็ดีแม้จะเป็น อาชีพ ที่ดีแต่เกษตรกรก็ควรศึกษาวิธีการเลี้ยงให้เข้าใจและเริ่มเลี้ยงแบบหาประสบการณ์ จาก น้อยไปหามาก เพื่อดูว่าอัตราการรอดเป็นอย่างไรระหว่างเลี้ยงมีปัญหาอะไรให้ต้องแก้ไข แม้ว่ากุ้งฝอยจะเลี้ยงไม่ยากแต่หากไม่เข้าใจในวิธีการเลี้ยงก็อาจทำให้เป็นการลงทุนที่เสียเวลาโดยประโยชน์ได้

เมนูอาหารยอดนิยมจากกุ้งฝอย

กุ้งฝอย เป็นสัตว์น้ำที่มีรสชาติดีและมีคุณค่าทางอาหารสูง ทั้งโปรตีน แคลเซียม และแร่ธาตุอื่น ๆ อีกมากมาย จึงทำให้มีความนิยมในการนำมาบริโภคกันเป็นอย่างมาก ซึ่งกุ้งฝอยสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย แต่ที่นิยมรับประทานกันมากที่สุดคือ กุ้งเต้น กุ้งฝอยทอด ตำกุ้ง พล่ากุ้ง แกงกุ้งฝอย น้ำพริกกุ้ง หรือบางคนก็นำมารับประทานสด ๆ วันนี้เราจึงได้นำวิธีการทำเมนูยอดนิยมมานำเสนอ

เมนูก้อยกุ้งหรือกุ้งเต้น  ส่วนผสมหรือวัตถุดิบ ดังนี้

  • กุ้งฝอยเป็น ๆ (มีชีวิต) 200 กรัม 
  • น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำปลา 1 ½ ช้อนโต๊ะ 
  • ข้าวคั่วโขลก 2 ช้อนโต๊ะ
  • หอมแดงซอย 3 หัว 
  • พริกขี้หนูแห้งคั่วป่น 1 ช้อนโต๊ะ
  • ผักชีฝรั่งซอย 2 ต้น 
  • ต้นหอมซอย 2 ต้น

วิธีทำหรือปรุงรส

  1. ล้างกุ้งฝอย พักในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ
  2. ใส่กุ้งฝอยลงในอ่างผสม ใส่น้ำมะนาว ข้าวคั่ว หอมแดง และพริกป่น เคล้าให้เข้ากัน ใส่ผักชีฝรั่งและต้นหอม เคล้าให้เข้ากันทั่ว ตักใส่จานเสิร์ฟ




คำเตือนการบริโภคก้อยกุ้งหรือกุ้งเต้น

โรคพยาธิใบไม้ปอด ชนิดพาราโกนิมัส พยาธิเข้าไปฝังตัวอาศัยอยู่ในปิด เนือปอดจะถูกทำลาย การติดต่อโรคได้โดยการกินปูและกุ้งน้ำจืด ที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ ที่มีตัวอ่อนระยะติดต่อของพยาธิใบไม้ปอด

แหล่งอ้างอิง |  thaismescenter.com, sarakaset.com

เรียบเรียงโดย | withikaset.com


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เทคนิคปลูกมะนาวอินทรีย์ในบ่อซีเมนต์ จัดการง่ายประหยัดต้นทุน

เทคนิคปลูกมะนาวอินทรีย์ในบ่อซีเมนต์ จัดการง่ายประหยัดต้นทุน

เทคนิคปลูกมะนาวอินทรีย์ในบ่อซีเมนต์

เทคนิคปลูกมะนาวอินทรีย์ในบ่อซีเมนต์


ลุงเขียวปลูกมะนาว 200 ต้น ในพื้นที่กว่า 1 ไร่ มะนาวจะลูกดก เป็นพวงใหญ่ น้ำเยอะและมีรสเปรี้ยวจี๊ด ขายนอกฤดูตกลูกละ 3 บาท (มีพ่อค้าแม่ค้ามารับซื้อ) ต้นหนึ่งออกลูกไม่ต่ำกว่า 500 ลูกต่อรุ่น ใช้เวลาเพียง 6-9 เดือนก็สามารถเก็บผลผลิตได้ เพียงแค่ปีเดียวก็คุ้มทุนแล้ว ส่วนการดูแลก็เพียงแค่เตรียมดิน รดน้ำ ให้ปุ๋ย ด้วยวัสดุที่สามารถหาเองได้ ไม่ต้องพึ่งสารเคมี ลดต้นทุน แต่ผลผลิตเกินคุ้ม แถมมีรายได้เสริมจากการตอนกิ่งพันธุ์มะนาวและขี้หมูแห้งอีกด้วย (Facebook เกษตรพอเพียงลุงเขียว)



ข้อแตกต่างระหว่างมะนาวที่ปลูกลงดินกับปลูกในวงบ่อซีเมนต์

มะนาวในวงบ่อซีเมนต์

  • ดูแลจัดการง่ายไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำและดิน
  • ให้ผลดก ลูกใหญ่
  • บังคับให้ออกนอกฤดูได้ ทำให้ได้ราคาสูง
  • ให้ผลผลิตเร็ว

มะนาวที่ปลูกลงดิน

  • ต้นสูงใหญ่
  • ออกลูกตามธรรมชาติ
  • แข็งแรง อายุยืน
  • ให้ผลช้า
วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้
  • บ่อซีเมนต์ ขนาดต่างๆ  (ทุกขนาดมีความสูง 50 ซ.ม.)
  • ขนาด 80 ซ.ม. ปลูกมะนาวได้ 5 ปี
  • ขนาด 100 ซ.ม. หรือ 1 เมตร ปลูกมะนาวได้ 7 ปี
  • ขนาด 120 ซ.ม. หรือ 1.20 เมตร ปลูกมะนาวได้ 9 ปี

        ปลูกมะนาวอินทรีย์

เทพื้นด้วยปูนก่อน ปล่อยให้แห้งแล้วค่อยนำท่อซีเมนต์มาวางทับ (ท่อโล่งๆ) แล้วรองพื้นด้วยก้อนหินเล็กๆ วางรองพื้นเพื่อให้ระบายน้ำ เอาแค่น้ำซึมก็พอ อย่าวางให้โล่งมากเพราะจะทำให้ดินในท่อยุบและไหลออกมาตามร่องพื้น

  • แกลบดำ ,แกลบดิบ
  • กิ่งพันธุ์ที่แข็งแรง
  • ดินที่มีอินทรีย์วัตถุเพียงพอสำหรับต้น
  • สปริงเกอร์
  • ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก

ขั้นตอนในการปลูกมะนาวในวงท่อซีเมนต์

ขั้นตอนที่ 1    การเตรียมดินสำหรับปลูก

ให้ทำการเลือกหน้าดินที่มีอินทรีย์วัตถุเพียงพอ    ใครใช้หน้าดิน 3 ส่วน  ผสมปุ๋ยคอก 1  ส่วน  แกลบดำ 1 ส่วน  แกลบติด 1 ส่วน  คลุกเคล้าให้เข้ากัน ใส่ดินที่ผสมแล้วลงในวงท่อให้เต็มถึงขอบบ่อ  โดยให้ดินแห้งพอสมควร แล้วนำฟางมาคุม

ขั้นตอนที่ 2   การนำกิ่งพันธุ์ลงปลูก

  •  ให้ทำการเลือกกิ่งพันธุ์มะนาวพิจิตร 1  ที่แข็งแรงเจริญเติบโตสมบูรณ์จากแหล่งที่เชื่อถือได้  และเป็นกิ่งพันธุ์ที่ทนต่อโรคเพื่อป้องกันโรคหลังการปลุก
  • เจาะหลุมตรงกลางวงท่อซีเมนต์ให้มีความลึกพอประมาณ  แนะนำกิ่งพันธุ์มะนาวที่เตรียมไว้ลงในหลุมประมาณ 5 นิ้ว รอยแผลรากมะนาวไม่ให้รากขนเป็นก้อน  กลบดินที่โคนปักไม้  และผุ้ไว้กับต้นมะนาว เพื่อป้องกันการโยกของต้นมะนาวเพื่อไม่ให้หน้ากระทบกระเทือน แล้วนำฟางมาคลุมรอบๆโคนต้น

ขั้นตอนที่ 3 การให้น้ำ

ควรลดน้ำให้ชุ่มแล้วใช้ฟางข้าวคุมรอบโคนต้น  สัปดาห์แรกๆ ให้ลดน้ำทุกๆ วันๆ 1-2 ครั้ง ให้ดินชุ่มน้ำ และควรให้น้ำครั้งละน้อยๆ  โดยการเปิดสปริงเกอร์ให้ใช้เวลาเพียง 5 นาทีต่อครั้ง  ถ้าให้น้ำมากกว่านี้น้ำจะชะล้างเอาดินออกมาด้วย  ทำให้ดินยุบตัวเร็ว  หลังจากนั้นให้รดน้ำวันเว้นวัน  หรือรดน้ำเมื่อดินแห้ง  หรือเมื่อสังเกตผมว่ามะนาวเริ่มใบ เพราะการปลูกแบบนี้มะนาวจะอขาดน้ำไม่ได้เลย




ขั้นตอนที่ 4   การให้ปุ๋ย

ภายในสวนลุงเขียว  มีการเลี้ยงหมู   11 ตัว  เลี้ยงไก่ไข่ 30 ตัว  เลี้ยงเป็ดไข่ 50 ตัว  เลี้ยงเป็ดเทศ 75 ตัว  เลี้ยงไว้สำหรับกินไข่ส่วนที่เหลือก็นำไปขาย ส่วนมูลสัตว์นั้นสามารถนำมาทำเป็นปุ๋ยคอกได้อีกด้วย

วิธีการทำปุ๋ย  คือ  นำแกลบดิบเทใส่ในคอกหมู และคอกเป็ด เมื่อจะใส่ปุ๋ย ก็ให้นำขี้หมูใส่ในตาข่ายเขียว แล้วนำมาแช่ในน้ำเปล่า 24 ชั่วโมง (ขี้หมู 10 กก. ต่อน้ำ 200 ลิตร) ก่อนนำมาฉีดพ่นให้ผสมน้ำหมักไล่แมลงก่อน 

ส่วนปุ๋ยทางดิน นั้นลุงเขียวจะหมักปุ๋ยด้วย แกลบดิบ 1 ส่วน แกลบดำ 1 ส่วน ปุ๋ยคอก 1 ส่วน รำอ่อน 1 ส่วน รดด้วยน้ำหมักชีวภาพ พอหมาดๆ หมักไว้ 2 อาทิตย์  แล้วนำน้ำหมักชีวภาพมาใส่เมื่อรู้สึกว่าต้นมะนาวเริ่มโทรม 

ขั้นตอนที่ 5 การบังคับให้ออกดอก

ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน เป็นช่วงฤดูฝน  ควรหาพลาสติก มาคุมที่โคนต้นทุกต้น  เมื่อเห็นว่ามะนาวเริ่มเฉาสลัดใบทิ้งจึงเริ่มให้น้ำตามปรกติได้  และให้ใส่ปุ๋ยหมักที่เตรียมไว้ประมาณ 1  กิโลกรัม ต่อต้น

เทคนิคปลูกมะนาวอินทรีย์ในบ่อซีเมนต์

ต่อมาอีกประมาณ 15 วัน จะเห็นว่ามะนาวจะเริ่มแตกยอดอ่อนและออกดอกมาในคราวเดียวกัน ในช่วงระยะมะนาวมีดอก  จะต้องดูแลโดยการพ่นน้ำมักสะเดา ตะไคร้หอม สาบเสือ หรือ สารขับไล่แมลงอื่นๆ

ลุงเขียวมีสูตรไล่แมลงอีกอย่างหนึ่งคือ นำลูกเหม็นใส่ขวดพลาติกเจาะรูแล้วนำมาแขวนไว้กับต้นมะนาว ขนาดแมลงสาบยังหนี  แมลงอย่างอื่นคงไม่กล้าเข้าไกล้ มะนาวที่ติดผลอ่อนในช่วงเดือนพฤศจิกายนเจะเก็บผลได้ประมาณเดือน เมษยน ซึ่งจะขายได้ราคาดีมาก เพราะช่วงนี้มะนาวะขาดตลาด




น้ำหมักสูตรลุงเขียว (สูตร 1)

  • สะเดา ขี้เหล็ก ตะไคร้หอม สาบเสือ โดยใช้อัตราส่วนเท่ากัน
  • ขี้หมูแห้ง  กะเอาให้ใกล้เคียงกัน ใส่ในผ้าตาข่ายมัดไว้
  • ถังน้ำ 200 ลิตร
      นำใบสะเดา ใบขี้เหล็ก ตะไคร้หอม สาบเสือ ใส่ลงในถัง (ไม่ต้องหั่น) ใส่ขี้หมูแห้งไว้ด้านบน เติมน้ำจนท่วม ครบ 24 ชั่วโมง ให้เอาขี้หมูแห้งออก ทิ้งไว้ 1 อาทิตย์ แล้วนำมาฉีดพ่น ส่วนผสมที่เหลือในถังเมื่อน้ำหมดสามารถเติมน้ำใช้ต่อได้หลายครั้ง

       สะเดาและขี้เหล็กจะขม ตะไคร้หอมและสาบเสือจะเหม็น เมื่อแมลงมากินใบจะขมและเหม็น ก็จะไม่กล้ามาอีก ส่วนขี้หมูจะเร่งดอก เร่งผล (สูตรนี้ฉีดพ่นทุก 7 วัน)

น้ำหมักสูตรลุงเขียว (สูตร 2)

  • เหล้าขาว 1 แก้ว
  • น้ำยาสูบ (ยาฉุน) 1 แก้ว
  • น้ำส้มสายชู 1 แก้ว
  • น้ำ 20 ลิตร
      นำส่วนต่างๆ มาผสมให้เข้ากัน สามารถฉีดพ่นได้เลย (สูตรนี้อยู่ได้นานเป็นเดือน)

เทคนิคการไล่แมลงแบบง่ายๆ สไตล์ลุงเขียว

  • ลูกเหม็น 3-4 ก้อน
  • ขวดพลาสติก

      ให้เจาะรูด้านข้างของขวดพลาสติกให้กว้างสัก 3-4 ด้าน เพื่อให้ลมเข้าไปในขวด แล้วเอาลูกเหม็นใส่ในขวดนำไปห้อยตามต้นมะนาว ลมจะพัดเอากลิ่นของลูกเหม็นไล่แมลง เมื่อแมลงได้กลิ่นของลูกเหม็นก็จะไม่มารบกวนมะนาวอีกเลย (ใช้ได้กับพริกที่มีเพลี้ยแป้ง รวมทั้งอ้อยและมัน)

การตอนกิ่งพันธุ์มะนาวสูตรลุงเขียว
  • มีดสำหรับควั่นเปลือกมะนาว
  • เปลือกมะพร้าวแช่น้ำยาเร่งราก
  • เชือกฟาง

      ให้สังเกตกิ่งมะนาวที่แตกออกมาจากกิ่งหลัก จะมีลายขาวๆ กิ่งไม่อ่อนและแข็งจนเกินไป จากนั้นเอามีดควั่นตรงใต้ตาหมุนรอบ และถัดลงมาอีก 5 ซ.ม. ให้ควั่นหมุนรอบ แล้วใช้มีดกรีดทางยาวเอาเปลือกออกแล้วใช้เปลือกขยี้เอาเนื้อเยื่อตรงแกนออกอีกครั้ง  ใช้มีดผ่ากลางเปลือกมะพร้าวเพื่อหุ้มแกนเสร็จแล้วใช้เชือกฟางมัดไว้โดยรอบให้แน่นพอประมาณ ไม่ต้องรดน้ำ ทิ้งไว้ 15 วัน รากจะงอก ตัดได้เลย

ขอบคุณข้อมูลจาก คุณเอก สามารถ ในรายการเกษตรกร ปัญญาดี) ,  คุณบุญยัด สามารถ (ลุงเขียว) 


บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ ประหยัดต้นทุนเพิ่มรายได้

เลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ ประหยัดต้นทุนเพิ่มรายได้

เลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์

เลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์


คุณเฉลย และ สมใจ ละม้ายพันธ์   เป็นเกษตรกรตัวอย่างและเป็นผู้ริเริ่มการ เลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ ในอำเภอ คลองหาด จนประสบความสำเร็จ  หากเกษตรกรหรือบุคคลใดสนใจ สามารถเดินทางมาเยี่ยมได้ที่ บ้านเลขที่ 83 หมู่ 5 ตำบลคลองหาด อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว เบอร์โทร. 086 167 8494 เพื่อนำไปเป็นแนวทางในการประกอบอาชีพได้




ไข่อินทรีย์ คือ ไข่ปลอดสารพิษที่ได้มาจากแม่ไก่ที่เลี้ยงแบบธรรมชาติ ไม่มีการฉีดฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต หรือกินอาหารที่มีสารพิษตกค้าง 

เลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์ ประหยัดต้นทุนเพิ่มรายได้

ลักษณะการเลี้ยงไก่ไขอินทรีย์ แบ่งเป็น 2 ส่วน

  • ส่วนที่เป็นโรงเรือน เพื่อให้ไก่ได้ใช้เป็นที่นอน โดยจะทำคอนให้ไก่ไว้เกาะนอนช่วงกลางคืน และกินน้ำ อาหาร
  • ส่วนเป็นพื้นที่แปลงหญ้า เพื่อให้ไก่ออกมาหากินหญ้า แมลง ตามธรรมชาติ โดยมีตาข่ายล้อมรอบเพื่อป้องกันสัตว์ร้ายเข้ามา
  • ทั้งนี้อัตราการปล่อยเลี้ยงมีข้อแนะนำว่า พื้นที่ 1 ตารางวา ต่อไก่ 1 ตัว และให้มีรังไข่ 1 รังต่อไก่ 9 ตัว

อาหารไก่ไข่อินทรีย์ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 

  • อาหารข้น ได้แก่ อาหารหลัก คือ ข้าวโพดบด กากถั่วเหลือง ถั่วอบ รำละเอียด เกลือ เปลือกหอยบด กากน้ำตาล และสมุนไพร ผสมกันโดยแบ่งให้กินช่วงเช้าและเย็น

        สำหรับสมุนไพรที่ใช้ผสมให้ไก่กิน จะเป็นสมุนไพรที่สามารถหาได้ง่ายในพื้นที่ เช่น ใบเตย ต้นโทงเทง มีสรรพคุณแก้หวัด ต้นฟ้าทะลายโจร มีสรรพคุณฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ใบฝรั่ง มีสรรพคุณแก้ท้องเสีย หญ้าจีนแดง มีสรรพคุณเป็นยาถ่ายพยาธิ โดยนำมาสับให้ละเอียด ตากแห้งหรือบางครั้งใช้สด แล้วผสมลงไปในอาหารโดยตรง ซึ่งอาหารข้น 100 กิโลกรัม จะใช้สมุนไพร 1 กิโลกรัม

      ไก่ไข่ 1 ตัว กินอาหารวันละ 1 ขีด ถ้าไก่ 10 ตัว ก็กินอาหารวันละ 1 กิโลกรัม โดยแบ่งให้กินช่วงเช้า 0.5 กิโลกรัม และช่วงบ่าย 3 โมง ให้กินอีก 0.5 กิโลกรัม พร้อมทั้งมีน้ำสะอาดให้กินตลอดเวลา

  • อาหารเสริม ได้แก่ อาหารตามธรรมชาติ จะเน้นปล่อยให้หากินเองตามธรรมชาติ เช่น หญ้า แมลง โดยเริ่มปล่อยตั้งแต่ 4 โมงเย็นทุกวัน ซึ่งไก่จะหากินจนมืดและจะกลับขึ้นคอกกันเอง

เลี้ยงไก่ไข่

      นอกจากนี้ผักที่ปลูกไว้ไม่ว่าจะเป็นผักคะน้า กวางตุ้ง ผักบุ้งจีน พริก ข่า ตะไคร้ มะละกอ ตำลึง กระถิน  ก็นำมาให้ไก่กินได้เลย ซึ่งผักที่ปลูกไว้จะไม่ใช้สารเคมี หากมีโรคหรือแมลง ก็จะใช้น้ำหมักสมุนไพรฉีดพ่น




สมุนไพรรักษาหรือป้องกันการเกิดโรค แบ่งเป็น 2 ช่วง
ช่วงปลายฝนต้นหนาว
  • นำฟ้าทะลายโจรมาล้างให้สะอาด แล้วสับให้ละเอียด ตากแห้งเพื่อเก็บไว้บดผสมกับอาหาร
  • นำฟ้าทะลายโจรสดทั้งต้นมาให้ไก่กินเลยก็ได้
ช่วงปลายหนาวต้นร้อน (ไข้หวัดนก)
  • นำสมุนไพร คือ ลูกใต้ใบ ต้นโทงเทง ฟ้าทะลายโจร หนุมานประสานกาย อย่างละ 1 กิโลกรัม
  • หมักกับน้ำตาลทรายแดงหรือกากน้ำตาล 1 กิโลกรัม
  • น้ำเปล่า 5 ลิตร 
  • ใส่ในถังหมัก ทิ้งไว้ 10-15 วัน 
  • นำมาผสมน้ำให้ไก่กิน หรือให้ไก่กินแบบไม่ผสม เมื่อไก่มีอาการซึม หน้าซีด (คือหน้าไม่แดงเหมือนไก่ปกติ)
ไข่ไก่
      การเลี้ยงไก่ไข่อินทรีย์จะช่วยลดต้นทุน ได้อาหารที่สะอาดและปลอดภัย และการปล่อยให้ไก่ได้หาอาหารตามธรรมชาติ จะช่วยลดความเครียด ช่วยให้ไก่แข็งแรงมีสุขภาพดี ขับถ่ายไม่มีกลิ่นเหม็น ทำให้ไม่มีโรค เพราะได้กินอาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพร ซึ่งไข่อินทรีย์จะไม่มีกลิ่นคาว เนื้อแน่นและนุ่ม ทำให้เกิดประโยชน์ต่อผู้บริโภค คือ แข็งแรง อายุยืน และไม่เครียด ดังเช่น คุณเฉลย และ คุณสมใจ ละม้ายพันธ์

สูตร อาหารไก่ไข่อินทรีย์ 

สูตรที่ 1.  สูตรอาหารไก่ไข่ มีดังนี้
  • กากถั่วเหลือง 15 กก.
  • ผักตบชวาป่น 8 กก.
  • ปลายข้าว 30 กก.
  • ข้าวโพดบด 25 กก.
  • มันสำปะหลัง 15 กก.
  • ใบกระถินป่น 1 กก.
  • สุมนไพร เช่น ฟ้าทลายโจรป่น ขมิ้นป่น 1.5 กก.
  • หินปูน 2 กก.
  • ไดแคลเซียมฟอสเฟต  1.5 กก.
  • วิตามิน แร่ธาตุ 1 กก.   ==> รวมทั้งหมด 100 กก.

สูตรอาหารไข่ไก่ สูตรนี้ให้โปรตีนสูงถึง 18%  แคลเซียม 1.7% และให้พลังงานรวม 2,800 กิโลแคลอรี่ และเพื่อความแน่ใจในการเป็นอาหารสัตว์อินทรีย์วิถีไทย เราไม่ใช้ยาปฎิชีวนะและฮอร์โมน ดังนั้นจึงควรใส่ว่านรางจืดป่นไปอีก 1 กก. ว่านรางจืดจะช่วยขับสารพิษและสารเคมีตกค้างในตัวไก่ได้อีกทางหนึ่งด้วย

ที่มา : ไข่ไก่ขบถ ไข่ไก่อินทรีย์วิถีไทย 

สูตรที่ 2.  สูตรอาหารไก่ไข่ มีดังนี้

  • ถั่วเหลือง 1.5 กิโลกรัม
  • เปลือกหอยป่น 1 กิโลกรัม
  • ปลายข้าว 5 กิโลกรัม
  • รำละเอียด 1.2 กิโลกรัม
  • ปลาป่น 5 ขีด
  • กระถินป่น 8 ขีด

วิธีทำ

นำทุกอย่างมาผสมรวมกันลงในภาชนะที่เตรียมไว้ผสมรวมให้เข้ากันแล้วสามารถนำไปให้ไก่ไข่กินได้เลย

ที่มา : รายการมหาอำนาจบ้านนา ตอน สูตรอาหารไก่ไข่ สูตรลับฉบับบ้านนา โดย พี่จี๊ป เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่มีสูตรอาหารของไก่ไข่แบบอินทรีย์


รายการหอมแผ่นดิน ตอน ไข่ไก่อินทรีย์ 21 ธ.ค. 2557

เรียบเรียง : Withikaset.com